[เที่ยวอิตาลีด้วยตัวเอง] FLORENCE (ฟลอเรนซ์) เมืองแสนโรแมนติก บ้านเกิดแห่งศิลปะเรเนซองส์

หากถามถึงเมืองที่นัทชอบที่สุดในประเทศอิตาลี หนึ่งในนั้นก็คงจะต้องตอบว่าเมือง ฟลอเรนซ์ (Florence) ค่ะ เมืองนี้เป็นเมืองที่นัทได้มีโอกาสไปเรียนป.โทมาหนึ่งปี เป็นเมืองที่นัทตกหลุมรัก และแม้ว่าจะมีโอกาสไปเกือบครบทุกภูมิภาคในอิตาลีแล้ว ก็ยังคงชอบที่นี่เป็นอันดับหนึ่งในใจ

เมืองฟลอเรนซ์ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยใกล้ตัวส่วนใหญ่ มักจะเป็นเมืองที่แวะแค่ครึ่งวัน เป็นเมืองทางผ่าน อาจจะด้วยข้อจำกัดของเวลา หรือ เรื่องของความสนใจ แต่หากคุณเป็นคนที่ชอบศิลปะและประวัติศาสตร์ในยุคเรเนซองส์ สนใจแฟชั่นอิตาลี ชอบเมืองที่มีความสโลว์ไลฟ์ ชอบเดิน และ ไม่ชอบความวุ่นวายเหมือนโรม มิลาน หรือ เวนิส คุณก็อาจจะชอบที่นี่ค่ะ

เมือง ฟลอเรนซ์​ (Florence) มีชื่อเป็นภาษาอิตาเลียนว่า Firenze เป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสคานี (Tuscany หรือ Toscana ในภาษาอิตาเลียน) แม้ว่าหากดูแผนที่อิตาลี จะดูค่อนๆ ไปทางเหนือ แต่คนอิตาลีนิยามว่านี่คือภาคกลางของประเทศ เต็มไปด้วยของกินอร่อยๆ น้ำมันมะกอก สเต๊กฟิออเรนติน่า และ ไวน์ที่ถูกขนานนามว่าเป็น Super Tuscan

นครฟลอเรนซ์เอง เคยเป็นหนึ่งในนครที่ร่ำรวยที่สุดในยุคกลาง เป็นบ้านเกิดของศิลปะเรเนซองส์ และบ้านเกิด รวมถึงที่ร่ำเรียน เติบโต ของศิลปินแห่งยุค อย่าง ลีโอนาร์โด้ ดาวินชี่, มิเคลันเจโล (ไมเคิลแองเจโล), กาลิเลโอ แบรนด์แฟชั่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอิตาลีอย่าง Gucci ยังถือกำเนิดที่นี่ นอกจากนี้ ยังมี Ferragamo, Pucci และ Roberto Cavalli ด้วยค่ะ ที่สำคัญ ภาษาฟลอเรนซ์นั้น ยังเป็นรากฐานของภาษาอิตาเลียน ในตอนที่ Dante เขียนวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคอีกด้วย

โพสท์นี้จะรวบรวมทั้งวิธีการวางแผน ที่เที่ยวและข้อมูลต่างๆ รวมไปถึงร้านอาหารที่ชอบด้วยนะคะ ตามมากันเลย


วิธีการเดินทางมาฟลอเรนซ์

เครื่องบิน : ฟลอเรนซ์ มีสนามบินเป็นของตัวเอง ที่สะดวกและใกล้เมืองมากๆ ใช้เวลาเข้าเมืองแค่ 20 นาที แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสายการบินฟูลเซอร์วิส อย่าง British Airways, Lufthansa, AirFrance, AustrianAir ทำให้ค่าตั๋วจะค่อนข้างแพง เมื่อเทียบกับสนามบิน ปิซ่า ที่ต้องนั่งบัสไปเป็นชั่วโมง แต่ตั๋วเครื่องบินราคาถูกกว่ามากๆ คนที่เดินทางในยุโรปเองจึงมักจะมาลงปิซ่าค่ะ

สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!

รถไฟ : ฟลอเรนซ์นั้น อยู่ตรงกลางระหว่าง มิลาน กับ โรม หากจะเดินทางไปยังมิลานหรือโรม มักจะนั่งรถไฟความเร็วสูงกัน เพราะใช้เวลาแค่ 2 ชม.​ (ในขณะที่ขับรถ 4 ชม. ส่วนเครื่องบิน ก็ไม่มีใครใช้ เพราะจากตัวเมืองโรมและมิลาน ไปสนามบิน เดินทางก็ 1 ชม. แล้ว ยังไม่รวมที่ต้องไปรอเช็คอินอีกค่ะ รถไฟคือตรงจากใจกลางเมืองถึงใจกลางเมืองเลย)

ดังนั้น หากใครมาจากเมืองไทย ก็มักจะแพลนเที่ยวโรมก่อน แล้วเลาะขึ้นมา ฟลอเรนซ์-ปิซ่า แล้วอาจจะไปต่อโบโลญญา มิลาน เวนิส ตามความสนใจอีกทีค่ะ


แผนการเที่ยวเมือง Florence

เมืองฟลอเรนซ์ ไม่มีรถไฟใต้ดินค่ะ มีรถบัสซึ่งน่าจะช้ากว่าเดิน แล้วก็มีแทรมมาจากสนามบินค่ะ การเดินทางหลักคือการเดิน ถ้าจะเรียกแท๊กซี่ต้องโทรเท่านั้น แต่ตั้งแต่นัทอยู่มา ก็เดินเป็นหลักเลยค่ะ 10-20 นาทีก็ถึงทุกที่แล้ว เป็นเมืองที่เหมาะกับการเดิน แล้วซึมซับบรรยากาศมากๆ ที่ที่ออกไปไกลหน่อยค่อยใช้บัส

สำหรับแผนเที่ยว โดยทั่วไป แล้วแต่ว่าสนใจอะไรบ้างนะคะ ถ้ามีเวลาจำกัด แต่ค่อนข้างครอบคลุม นัทจะพาเดินรูทประมาณนี้ค่ะ เริ่มจากสถานีรถไฟ เดินไป Mercato Centrale (Central Market) ก่อน แล้วเดินทะลุไปดูรูปปั้นเดวิดตัวจริงที่ Galleria dell’Accademia ซึ่งอันนี้หากใครไม่ได้อินก็ข้ามไปได้เลยค่ะ เดินเข้ามาทาง Duomo หรือที่มีชื่อเต็มว่า Cattedrale di Santa Maria del Fiore (Cathedral of Santa Maria) แล้วจึงเดินตรงผ่าน Piazza della Republica อาจจะขึ้นไปดูวิว จิบกาแฟที่ร้านดาดฟ้าของ La Rinascente จากนั้น ถ้ามีเวลาเหลือหน่อยแต่ไม่มาก ก็ไปเก็บ Piazza Signoria ได้ค่ะ แต่ปกติ นัทจะให้มาชม Uffizi Gallery แยกวันกัน เพราะเป็นมิวเซียมสำคัญและใช้เวลา จากนั้นเดินไปชม Ponte Vecchio สะพานที่มีร้านค้าอยู่ด้านบน จากนั้นเดินเลาะแม่น้ำอาร์โน เข้า Via Tornabuoni ร้านแบรนด์เนมหลายๆ แบรนด์จะอยู่บนเส้นนี้ เลี้ยวกลับมาที่โบถส์ Santa Maria Novella แวะร้านน้ำหอมเก่าแก่ Officina Profumo Farmaceutica di Santa Maria Novella แล้วก็จะกลับมาถึงสถานีค่ะ

หากค้างหนึ่งคืน ตอนเย็น อยากให้นั่งบัสสาย 13 จากหน้าสถานี หรือ แท๊กซี่ก็ได้ค่ะ ไป Piazzale Michelangelo เพื่อชมวิวพระอาทิตย์ตก

ถ้าโปรแกรมประมาณนี้จะใช้ 1 วันพอดีๆ ค่ะ แต่ถ้ามีเวลา 2 วัน ก็จะแนะนำให้เดิน Uffizi Gallery ครึ่งวัน ไปนั่งเล่นในสวน Boboli Garden/Palazzo Piti อีกครึ่งวัน ตอนเย็นไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกที่ Giardino delle Rose ส่วนกลางคืนแนะนำให้ไปกินไวน์หรือกินเบียร์แถวๆ Piazza Santo Spirito ค่ะ แล้วถ้ามีเวลาเพิ่มไปอีก อยากให้ไปแวะชมโบถส์ Santa Croce เดินเล่นแถว Borgo la Croce ซึ่งมันจะเป็นย่านที่เริ่มทัวริสท์น้อยลงมากๆ ส่วนใครสายแฟชั่นก็อย่าลืมชมพิพิธภัณฑ์ Gucci กับ Ferragamo อ้อ แล้วก็อย่าลืมลองทาน Aperitivo ด้วยนะคะ ทานแถวๆ Santa Croce ก็ได้ หรือเส้น Borgo Ognissanti ก็มีเยอะค่ะ

ใครอยากช้อปแบรนด์เนมถูกๆ แนะนำเอาท์เล็ทที่ชื่อว่า The Mall Firenze ค่ะ เพราะว่า แคว้นนี้เป็นแคว้นผลิตเครื่องหนังที่สำคัญที่สุดในอิตาลี ใครมีกระเป๋าแบรนด์เนม ถ้าเขียนว่า Made in Italy โรงงานคืออยู่แถวนี้หมดเลย แล้วของในเอาท์เล็ทก็คือถูกไป 30-70% เลยค่ะ

ส่วนตัว ด้วยความชอบเมืองนี้มาก ปกติกลับไปทีก็จะไปอยู่ 4-7 วัน เพราะว่า ชอบไปนั่งอยู่ในสวน ฟังเพลง อ่านหนังสือ กินไวน์ ดูพระอาทิตย์ตก ชอบไปนั่งดูผู้คนตามจัตุรัสต่างๆ เป็น Dolce Vita หรือ Sweet life ตามแบบแผนของชาวอิตาเลียนเลยล่ะค่ะ


ที่พักใน Florence (คลิ๊กที่ชื่อโรงแรมเพื่อเช็คราคาและจองได้เลยค่า)

โซนที่พักหรู จะอยู่กลางเมืองแถวๆ ดูโอโม่ค่ะ แล้วก็จะมี Four Seasons สาขาที่เรียกว่าสวยมากๆ เป็นหนึ่งในโรงแรมที่น่าไปซักครั้งในชีวิต แต่ไม่อยู่กลางเมืองเลยนะคะ ไปไหนต้องเรียกรถ

โรงแรมในตำนานของฟลอเรนซ์ ที่แบบ หรูมาก สวยมาก ได้แก่ Four Seasons Florence, The St. Regis Florence, Rocco Forte Hotel Savoy

ถ้าเอาสะดวกสุด ราคาน่ารัก เน้นนอนแล้วไปต่อ มีสองทางค่ะ คือแบบคนไม่เที่ยวกลางคืน นัทแนะนำออกสถานีมา พักแถวหน้าสถานีเลย แค่ข้ามถนน ไม่ลำบากขนกระเป๋า เดินเข้าไปเที่ยวในเมืองก็ง่าย มีสองโรงแรมที่เวิร์คมาก คือ c-hotels Diplomat และ c-hotels Joy

แต่ถ้าเที่ยวกลางคืนจริงจัง แบบกะว่าจะกลับเที่ยงคืนหรือตีสองตีสาม ทางเดินจากพวกคลับหรือบาร์ดังๆ มาถึงหน้าสถานี มันมีถนนเปลี่ยวเยอะ ซึ่งนัทเดินกลางวันทุกวัน แต่กลางคืนก็แอบน่ากลัวจริงค่ะ เลยจะแนะนำให้อยู่แถวดูโอโม่ หรือ แถว Santa Croce ไปเลยดีกว่าค่ะ (อาคารอนุรักษ์ อาจจะแนววินเทจหน่อยนะคะ เป็นปกติของที่นี่ค่ะ) แนะนำ Hotel Calimala,
Hotel della Signoria, Relais Piazza Signoria

อ้อ แล้วก็มีที่ดังๆ อีกอัน เพราะมีสระว่ายน้ำวิวสวย เป็นช้อตฮิตในไอจี แต่ไม่ได้อยู่กลางเมืองนะคะ ที่นี่ดีไซน์สวย อาคารใหม่ ราคาโอเค คือ The Social Hub Florence Lavagnini ค่ะ


ที่เที่ยวเมือง Florence

1. Duomo di Firenze 

ดูโอโม่แห่งฟลอเรนซ์ แลนด์มาร์กที่สำคัญที่สุดในเมือง มีชื่อเต็มๆ ว่า Cattedrale di Santa Maria del Fiore แปลตรงตัวว่า Cathedral of Saint Mary of the Flower เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1296 แล้วมาเสร็จสิ้นจริงๆ ในช่วงปี 1436 โดยมีโดมสีส้มที่ออกแบบโดย Brunelleschi ซึ่งเป็นโดมอิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลกถึงทุกวันนี้ ตัววิหารเป็นงานสลักหินอ่อน ที่มีรายละเอียดเยอะมากๆ ใช้เวลาสร้างถึง 140 ปี แม้ว่าจะเห็นในรูปมาเยอะขนาดไหน แต่ครั้งแรกที่เดินใกล้เข้าไป จะยิ่งรู้สึกว่า ทำไมมันยิ่งใหญ่อลังการได้ขนาดนี้ มันใหญ่โตมาก และ ควรมาชมด้วยตาตัวเองซักครั้ง


2. Ponte Vecchio

แปลตรงตัวว่า สะพานเก่า ซึ่งนี่ก็เป็นสะพานที่เก่าแก่ที่สุดในฟลอเรนซ์ สร้างเสร็จในปี 1345 โดยมีความพิเศษคือเป็นสะพานที่มีร้านค้าอยู่ด้านบน มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยก่อนเป็นร้านของช่างตีเหล็ก ร้านขายเนื้อ ร้านทำแทนนิ่งหนัง แล้วมันมีกลิ่นเหม็น ด้านบนจะมีทางเดินของตระกูลเมดิชี่ ซึ่งเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลของยุโรป ภายหลังท่านดยุกจึงสั่งให้เปลี่ยนเป็นร้านทองแทน จะได้ไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นและความสกปรก จนถึงทุกวันนี้ ถ้าเราได้ไปเดินชม ก็จะเป็นร้านทองและเครื่องประดับเป็นหลักเลยค่ะ


3. Uffizi Gallery

หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่สำคัญที่สุดในโลก ที่นี่เเป็นคอลเลคชั่นศิลปะยุคกลางและยุคเรเนซองส์ที่สมบูรณ์และยิ่งใหญ่ ทั้ง Michelangelo, Raffaelo, Botticelli, Caravaggio ภาพที่หลายๆ คนรู้จักกันเป็นอย่างดีคือ The Birth of Venus ของ Botticelli และยังมีปะติมากรรมอยู่อีกจำนวนมาก

ตัวแกลเลอรี่ มีสองชั้น จะเห็นพัฒนาการของศิลปะยุคกลาง โดยเฉพาะวิธีการจัดวางองค์ประกอบศิลป์ที่มาจากยุคกลาง สีที่ใช้ที่บ่งชี้ถึงสถานะของผู้อุปถัมป์งานศิลปะในยุคนั้น อำนาจ ความเชื่อ ไปจนถึงการจัดวางแบบหลายๆ ช่อง เริ่มพยายามใช้เปอร์สเปคทีฟ ลากเข้ามาที่การเข้าสู่ยุคเรเนซองส์ การโพสท์แบบ Contrapposto ต่างๆ ที่นี่จะได้เห็นได้ชัดมากเลยค่ะ สนุกมากๆ


4. Piazza della Signoria และ Palazzo Vecchio

ข้างๆ Uffizi Gallery เลยจะเป็นตัววังเก่าที่ชื่อว่า Palazzo Vecchio ค่ะ จากวัง Palazzo Pitti ฝั่งที่ข้ามแม่น้ำ จะมีทางเดินลับในถ้ำ Grotto ในสวน ที่เรียกว่า Vasari Corridor ซึ่งจะลัดผ่านชั้นบนของสะพาน Ponte Vecchio แล้วมาออกที่ Palazzo Vecchio แห่งนี้ด้วย แต่ปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 20 ปีแล้วค่ะ เห็นมีข่าวว่าจะเปิดปีนี้ หากใครอ่านหนังสือ หรือ ดูหนังเรื่อง Inferno ของ Dan Brown ก็จะมีฉากที่วิ่งไล่กันตรงนี้ด้วย

Palazzo Vecchio ต้องเสียเงินเข้าชมค่ะ อาจจะต้องเป็นสายสถาปัตย์หน่อย ตัวนัทเคยเข้าไปครั้งนึงตอนเค้าจัดงาน มีคอร์ทยาร์ดที่สวยเลยค่ะ

ส่วน Piazza della Signoria นั้น จะเป็นที่ตั้งของน้ำพุ ที่มีเทพเจ้าโพไซดอนอยู่ หน้าวังมีรูปปั้นตัวก็อปปี้ของเดวิดอยู่ แต่สิ่งที่ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยคือ รูปปั้น Perseus with the Head of Medusa หรือ เปอร์ซีอุส ตอนตัดหัวเมดูซ่า ซึ่งเป็นรูปปั้นบรอนซ์โดย Benvenuto Cellini หนึ่งในรูปปั้นที่สำคัญที่สุดในยุคเลยค่ะ อันนี้คือตั้งอยู่ตรงจัตุรัสเลย ไม่ต้องเสียค่าเข้าค่ะ

อีกจุดสำคัญสุดท้ายคือ พิพิธภัณฑ์ Gucci ซึ่งอยู่บนจัตุรัสนี้เช่นกัน หากใครสนใจ อยากดูประวัติความเป็นมา หรือ ผลงานพีคๆ ของ Gucci ก็มาชมได้ค่ะ (ส่วนตัวนัทชอบ พิพิธภัณฑ์ของ Ferragamo มากกว่า ใครชอบรองเท้าคือห้ามพลาดเลย)


5. Piazzale Michelangelo

จุดชมวิวพาโนรามาที่เห็นทั่วเมืองฟลอเรนซ์ต้องยกให้ที่จัตุรัสแห่งนี้เลยค่ะ เป็นจุดที่ถ่ายภาพโปสการ์ดของเมืองเลย หากใครมีโอกาสก็อยากให้แวะมาชม ช่วงพระอาทิตย์ก็สวย บางวันคนจะเยอะนิดนึง ถ้าวันไหนคนเยอะ แนะนำ เดินลงไปทางสวนกุหลาบค่ะ ไม่งั้นก็หาที่ตรงระเบียงได้เลย

ตรงนี้จะมีรูปปั้นเดวิดตัวใหญ่อยู่ แต่ไม่ใช่รูปออริจินอลนะคะ ตัวออริจินอลจะอยู่ที่ Galleria dell’Accademia ค่ะ

มาแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกันเลย ทุกครั้งจะรู้สึกว่า นี่หรอ ที่กำเนิด นครที่เคยรุ่งเรือง และแผ่อิทธิพลทั่วยุโรป จนเกิดยุคฟื้นฟูวิทยาการ


6. Giardino delle Rose

หากใครไม่อยากเจอคนเยอะมาก ยังสามารถมาชมวิวได้ที่สวนดอกกุหลาบซึ่งอยู่ถัดจากจัตุรัสด้านบนเพียงนิดเดียวเท่านั้น จริงๆ ถ้าใครชอบเดิน จะเดินขึ้นมาจากในเมืองได้เลยนะคะ ตรงนี้ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกกุหลาบจะบานสวยมาก เต็มไปหมดเลย ส่วนฤดูอื่นๆ ก็จะมีบรรยากาศเปลี่ยนไปเรื่อยๆ วันอากาศดีๆ จะมีคนเอาอะไรมานั่งกิน ชมวิว ชมพระอาทิตย์ตก เป็นอีกหนึ่งจุดที่นัทชอบที่สุดในเมืองเลย

หากใครชอบดอกไม้ฟูๆ แบบนี้ ต้องมาช่วงเดือนมีนาเลยค่า


7. Piazza della Repubblica

จัตุรัสใจกลางเมือง เดินจากดูโอโม่มาเพียงนิดเดียวก็จะเจอค่ะ เป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยคาเฟ่ต่างๆ อยู่รอบๆ มีม้าหมุน และฟาซาดสวยๆ ด้านหลัง สามารถมาถ่ายรูป หรือ จะมานั่งดูผู้คนก็ได้ ใกล้ๆ เป็นที่ตั้งของคาเฟ่ชื่อดัง Cafe Gilli ที่อยู่มาตั้งแต่ปี 1733 ที่คนชอบมาทานบิสคอตติกันค่ะ

จาก Piazza della Repubblica จะสามารถเดินผ่านซุ้ม ไปช้อปปิ้งแบรนด์เนมที่ Via degli Strozzi และ Via Tornabuoni หรือจะเดินตรงไป Via Calimala ที่มีรูปปั้นบรอนซ์รูปหมูป่า ที่ว่ากันว่าถ้ามาแตะที่จมูก ก็จะได้กลับมาที่นี่อีก


8. Mercato Centrale (Central Market)

ตลาดกลางที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปีคศ. 1874 หนึ่งในการวางผังเมืองหลังการรวมชาติของอิตาลี ในปัจจุบันเป็นตลาดสองชั้น มีทั้งของสด ของพื้นเมืองทัสคัน มีด้านบนที่เป็นเหมือนฟู้ดคอร์ท สามารถมาเดินดูหรือซื้อของฝากได้ค่ะ


9. Galleria dell’Accademia

แปลว่าตรงตัวว่า Gallery of the Academy of Florence ซึ่งมีชื่อเสียงเพราะเป็นที่อยู่ของรูปปั้น David โดย Michelangelo หนึ่งในรูปปั้นที่ดังที่สุดในโลก ซึ่งหากไปดูรายละเอียดรูปสลักหินอ่อน 5 เมตรชิ้นนี้ จะเห็นถึงรายละเอียดที่น่าทึ่งมากๆ ค่ะ

ส่วนภายในแกลเลอรี่ ก็จะจัดแสดงงานจากศิลปินชาวฟลอเรนทีนในยุค 1300 – 1600 ค่ะ


10. Officina Profumo Farmaceutica di Santa Maria Novella

ที่นี่ถูกขนานนามว่าเป็น Pharmacy เก่าแก่ของโลก แต่ว่าไม่ได้ขายยานะคะ ตัวร้านเกิดตั้งแต่ปี 1221 ซึ่งเป็นการปรุงสมุนไพรและดอกไม้ต่างๆ ที่นำมาทำเป็นยา ไปจนถึงน้ำหอม คนดังที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของที่นี่ก็ได้แก่ Catherine de Medici จากตระกูลทรงอิทธิพลของฟลอเรนซ์ ที่กลายไปเป็นราชินีแห่งฝรั่งเศส ค่ะ

ภายในร้าน เป็นตัวอาคารเก่าที่สวยมากๆ ค่ะ นอกจากสินค้าที่ขายแล้ว ก็ยังมีมุมต่างๆ ที่จัดเก็บของเก่าไว้แสดงอย่างสวยงาม ควรแวะมาชมซักครั้งค่ะ


11. Basilica di Santa Croce

หากมีเวลาแล้วอยากชมโบถส์อีกซักแห่ง นัทขอแนะนำโบถส์ Santa Croce ค่ะ ด้านในเป็นโบถส์ที่มีวัดน้อยถึง 16 Chapels ทำให้ที่นี่กลายเป็นโบถส์ฟรานซิสกันที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีโถงใต้ดิน มี Cloister (ทางเดินใน Monastery) ถึงสามแห่ง  และเป็นที่อยู่ของหลุมศพมิเคลันเจลโล และ กาลิเลโอ อีกด้วยค่ะ

นอกจากนี้ ย่าน Santa Croce ยังเต็มไปด้วยร้านอาหารและผับบาร์สำหรับผู้ที่ชอบเที่ยวกลางคืนอีกด้วยนะคะ แถวนี้คึกคักมากๆ


12. Basilica di Santa Maria Novella

ที่นี่อาจจะไม่ใช่แลนด์มาร์กที่โดดเด่นในการมาฟลอเรนซ์ แต่โบถส์แห่งนี้อยู่ใกล้สถานีมากๆ และอาจจะต้องเดินผ่านอยู่แล้วค่ะ โบถส์ Santa Maria Novella นั้น ถือเป็นโบถส์ที่มีความสำคัญทางสถาปัตยกรรมโกธิคในทัสคานี ภายในมีงานจิตกรรมหลายชิ้นที่น่าสนใจค่ะ


13. Palazzo Pitti & Boboli Garden

พระราชวัง Palazzo Pitti เป็นพระราชวังที่ใหญ่และสำคัญที่สุดภายในเมืองฟลอเรนซ์ค่ะ ภายในมีพื้นที่ที่กว้างขวางมากๆ ด้านหลังเป็นสวนขนาดใหญ่กว่า 280 ไร่ ที่เป็นแบบของสวนอิตาเลียนในเวลาถัดมา พระราชวังแห่งนี้ สร้างขึ้นในยุครุ่งเรืองของตระกูลเมดิชี่เลยค่ะ เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1457 ภายในมีหลายส่วนให้ดูเยอะมากๆ

มีทั้งแกลเลอรี่เก็บงานศิลปะในแต่ละยุค มีการจัดแสดงห้องพักของผู้ครองนครที่เคยประทับที่วังแห่งนี้ มี Treasury มีพิพิธภัณฑ์ทั้ง พิพิธภัณฑ์คอสตูม เครื่องพอร์ซเลน จัดแสดงแยกอยู่ในแต่ละวิลล่า แล้วก็มีสวน Boboli Garden ที่ใหญ่มากๆ เต็มไปด้วยปะติมากรรม น้ำพุ และ ถ้ำ Grotto ค่ะ


14. Rooftop bars

หากมาถึงฟลอเรนซ์แล้ว อีกอย่างที่น่าทำคือชมวิวจากรูฟท็อปบาร์ค่ะ อันที่ไปง่ายและเป็นที่นิยมจะเป็นดาดฟ้าของ La Rinascente วิวสวยเลยค่ะ ส่วนในรูปทางซ้ายจะเป็นบาร์ของโรงแรม Westin Excelsior ซึ่งเปิดเป็น Aperitivo บรรยากาศดีมากๆ

นอกจากนี้ก็จะมี Hotel Minerva, Grand Hotel Cavour แล้วก็ Student Hotel ค่ะ


ร้านอาหารในฟลอเรนซ์

– All’Antico Vinaio : ร้าน Panino หรือ แซนด์วิชแบบอิตาเลียน เป็นแซนด์วิชที่คิวยาวมากกกกกตลอดปี แล้วทำอร่อยแบบ ไม่น่าเชื่อว่าแซนด์วิชจะอร่อยได้ขนาดนี้ อันนี้คือห้ามพลาดเลยค่ะ

– ร้านอาหารที่นัทชอบมากๆ ได้แต่ La Giostra เน้นกินสเต๊กเนื้อ Fiorentina แนะนำให้จองประมาณ 1-2 เดือนล่วงหน้าค่ะ, Il Latini เป็นร้านแบบโฮมมี่ๆ มีความทัสคันมากๆ เลยค่ะ, 4 Leoni ร้านอาหารทัสคันที่เมนูโลคอลมากๆ ค่ะ หลายๆ เมนูหากินแคว้นอื่นไม่ได้เลย, Osteria Tripperia Il Magazzino เน้นเมนูขี้ริ้ววัวและไส้วัว แต่อย่างอื่นก็มีให้ทานค่ะ

– Osteria Gucci da Massimo Bottura : ร้านนี้เป็นร้านมิชลิน 1 ดาว ที่มีความพิเศษตรงที่ เป็นร้านอาหารภายใต้แบรนด์กุชชี่ ซึ่งกุชชี่ถือกำเนิดที่เมืองฟลอเรนซ์ค่ะ เป็นหนึ่งในตำนานของเมืองเลย แล้วกุชชี่ก็ไปได้ เชฟที่เคยได้รับรางวัลอันดับ 1 ของโลก เจ้าของมิชลินสามดาว อย่าง Massimo Bottura มาดูแลเรื่องเมนูให้

ซึ่งเมนูก็จะเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ มีสตอรี่เรื่องราว และเป็นเหมือนมุมมองของกุชชี่ที่มีต่อการเดินทางบนโลกใบนี้ถ่ายทอดลงมาในอาหาร ซึ่งนัทก็คิดว่าควรมาลองซักครั้ง แต่ถามว่า ใจนัทก็จะเชียร์ให้ลองทานอาหารทัสกันแบบออริจินอลที่ลิสท์ไปข้างต้นก่อนค่ะ คล้ายเวลามาเมืองไทย ก็อยากให้ลองทานอาหารไทยแบบเต็มๆ มื้อนึง แล้วค่อยไปเก็บร้านดังที่เป็นคอนเซปท์มากกว่า แต่อันนี้แล้วแต่คนนะคะ 🙂

– Gelateria : ร้านเจลาโตต่างๆ นัทเคยทำลิสท์ไว้ค่ะ เพราะว่ามันมีทั้งเจลาโตแท้ๆ กับเจลาโตสังเคราะห์ เลยอยากให้ทุกคนได้ไปตามรอยทานเจลาโต้ดีๆ กันค่า คลิ๊กที่ภาพได้เลย


หากใครอยากไปที่อื่นในอิตาลี อ่านต่อได้เลยนะคะ

[เที่ยว อิตาลี ด้วยตัวเอง] Cinque Terre ห้าหมู่บ้านสีสันน่ารักบนผาริมทะเล แรงบันดาลใจแอนิเมชั่นเรื่อง Luca

ครั้งที่แล้วนัทเขียนเรื่องอิตาลีใต้ไว้ ที่เน้น แคว้น Campania และ Puglia ค่ะ

สโลว์ไลฟ์ในอิตาลีตอนใต้ Positano-Amalfi Coast ดินแดนในฝัน ที่เที่ยวคนเดียวง่ายมาก

ลุยเดี่ยวเที่ยว Capri เกาะสวรรค์ของเซเลบริตี้ตัวแม่ ในอิตาลีตอนใต้ [Capri Travel Guide]

[Unseen Italy ตอนที่ 1] เที่ยว ทิโวลี (Tivoli) เมืองสวยใกล้โรม อีกหนึ่งมรดกโลกสำคัญของอิตาลี

[Unseen Italy ตอนที่ 2] เที่ยว Naples-Pompeii ทำพิซซ่าถึงเมืองบ้านเกิด ดินแดนประวัติศาสตร์ จิบไวน์ภูเขาไฟ

[Unseen Italy ตอนที่ 3] เที่ยว Caserta พระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และ Outlet ใกล้ Naples

[Unseen Italy ตอนที่ 4] เที่ยว Alberobello หมู่บ้านแสนน่ารัก ในแคว้นตรงส้นรองเท้าบู้ท Puglia

[Unseen Italy ตอนที่ 5] เที่ยว Lecce เมืองศิลปะ Italian Baroque แสนอลังการ และ Gallipoli เมืองท่าย้อนยุค ทางตอนใต้ของอิตาลี

[Unseen Italy ตอนที่ 6] เที่ยว Ostuni เมืองสีขาวบนชายฝั่งอิตาลีตอนใต้ และ ที่พักแบบ Masseria

[Unseen Italy ตอนที่ 7] มหัศจรรย์ “Matera” เมืองถ้ำหินเขาวงกต มรดกโลกจากอิตาลี ที่ต้องมาสัมผัสซักครั้ง

[Unseen Italy ตอนที่ 8] โหนซิปไลน์ข้ามหมู่บ้านที่สวยที่สุดในอิตาลี Castelmezzano – Pietrapertosa


สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!

หากชอบรีวิว ช่วยกดไลค์เพจเป็นกำลังใจให้หน่อยนะคะ อย่าลืมติดตามไอจี @eatchillwander ขอบคุณมากๆ ค่า




ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com

error: