[Unseen Italy ตอนที่ 7] มหัศจรรย์ “Matera” เมืองถ้ำหินเขาวงกต มรดกโลกจากอิตาลี ที่ต้องมาสัมผัสซักครั้ง

เดินทางกันมาถึงแคว้นที่ 4 สำหรับการมาอิตาลีตอนใต้ในทริปนี้ ตอนนี้เราอยู่กันที่แคว้น Basilicata (อ่านว่า บาซิลิกาต้า) ซึ่งเป็นที่อยู่ของ “Matera” เมืองประวัติศาสตร์ที่ฮิตขึ้นมาแบบมาแรงมากๆ ด้วยตำแหน่งเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมยุโรปในปี 2019 ( European Capital of Culture 2019) ประวัติศาสตร์อันน่าทึ่ง ภาพเมืองในถ้ำหินแบบเขาวงกตอันน่าอัศจรรย์ ที่ทำให้ที่นี่กลายเป็นเดสติเนชั่นหลักของปีนี้

ก่อนจะไปถึงเมืองฮิตอย่าง Matera และ หมู่บ้าน Castelmezzano-Pietrapertosa เราขอพูดถึงภาพรวมของแคว้น Basilicata ให้ฟังกันก่อน แคว้น Basilicata เป็นแคว้นทางใต้ของอิตาลี ติดทะเล Ionian ตั้งอยู่ระหว่างแคว้น Campagna และ แคว้น Puglia ที่เราเดินทางไปมาในตอนที่ 2 – 6 เมืองใหญ่ที่ถือเป็นเมืองหลวงของ Basilicata คือเมืองทีชื่อ Potenza

ในอาณาเขต Basilicata มีทั้งหาดทรายสีขาวเป็นกิโลๆ มีอุทยานแห่งชาติบนภูเขาสองแห่ง แถมยังมาพร้อมอากาศดีตลอดปี มีอาหารและไวน์แน่นๆ แต่ด้วยปัญหาเรื่องถนนหนทางและความยากจนในช่วงหลายทศวรรษก่อนในภูมิภาคนี้ ทำให้แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งในแคว้น Basilicata ยังคงเป็น Hidden Gem ที่ยังไม่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่เดินขวักไขว่ รถบัส ทัวร์ลงแน่นไปหมด แบบแคว้นอื่นๆ ในอิตาลี ยกเว้นในเมือง Matera เอง ดังนั้น หากใครสนใจแคว้น Basilicata เพิ่มเติม ที่ที่คนท้องถิ่นเริ่มมาเที่ยวก็จะเป็นชายหาดในเมือง Maratea (ไม่ใช่ Matera นะ ไม่ได้สะกดผิด) อุทยานแห่งชาติ Pollino ที่มีอาณาเขตไปถึงแคว้น Calabria เลย


วิธีการเดินทาง

หลายๆ คนมักจะรวม Matera ไว้ในโปรแกรมการเที่ยวอิตาลีตอนใต้ วิธีการเดินทางที่ง่ายที่สุดคือ บินมาลงสนามบิน Bari แล้วต่อรถไฟท้องถิ่นมา ใช้เวลาประมาณ 1.5 ชม. ค่ะ แต่เรายังยืนยันว่าวิธีเที่ยวภูมิภาคนี้ที่สะดวกที่สุดคือการเช่ารถขับ เพราะ สามารถแวะได้ทุกเมือง ไม่ต้องรอตารางรถ และจะได้เลือกที่พักเจ๋งๆ เป็นพวกฟาร์ม หรือ ไร่ใหญ่ อย่างไรก็ตาม เมืองส่วนใหญ่ก็มีรถไฟและรถบัสไปถึงเกือบหมด ซึ่งรถไฟมักจะใช้เวลานานกว่านะคะ (ย้อนกลับไปอ่านตอนก่อนๆ ได้นะคะ)

เส้นสีฟ้าคือแผนการเดินทางทั้งหมด ในทริปนี้ของเรา ซึ่งเราเริ่มต้นจากที่โรมเลย แต่จริงๆ สามารถนั่งรถไฟความเร็วสูงมา Naples (ตามเส้นสีน้ำเงิน ประหยัดเวลาขับรถไปประมาณ 2.5 ชม.) ลงมาเที่ยวพวก Pompeii-Capri-Amalfi Coast ไปถึง Salerno แล้วขับรถต่อไปยัง Castelmezzano – Matera ได้ค่ะ

หากใครมีเวลาสั้นกว่านั้น จะบินไปลง Bari แล้วเช่ารถเที่ยวแค่ในกรอบสีแดงก็ได้ค่ะ

**สำหรับรถไฟไป Matera จะไม่ได้อยู่ในบริษัทรถไฟแห่งชาติอย่าง Trenitalia หรือ Italo นะคะ แต่จะเป็นบริษัทระดับภูมิภาคที่ชื่อ Ferrovie Appulo Lucane เส้นทางรถไฟคือ Bari Centrale – Matera Centrale ค่ะ จองตั๋วได้ที่ https://ferrovieappulolucane.it/


Sassi di Matera

เราออกมาจากที่พักใกล้ Ostuni ในตอนที่แล้ว ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็เดินทางถึง Matera ค่ะ เมื่อมาถึงก็พอว่า Matera คึกคักมากๆ ทั้งๆที่ อาคารถ้ำภายในเมืองส่วนใหญ่ถูกรีโนเวทเพื่อวัตถุประสงค์ในการท่องเที่ยว ทำให้มีที่พัก Airbnb และ โรงแรมอยู่ทั่วทั้งเมือง แต่ด้วยความป็อปปูล่าร์ของ Matera ในปีนี้ เราเองก็ยังไม่สามารถหาที่พักในตัวเมืองเก่าได้ วันนี้จึงได้ที่พักที่อยู่ตรงขอบเมืองเก่าค่ะ (ซึ่งไม่มีผลเรื่องการเดินทางเข้าไปชมเมืองเลย เพราะเดินออกมาหน้าโรงแรม ก็ถึงตัวเมืองเก่าแล้ว แค่อดได้บรรยากาศการนอนบ้านถ้ำเฉยๆ)

ไฮไลท์ของการมาเยือน Matera นั้น คือ ‘i Sassi’ แปลตรงตัวว่า ‘หิน’

Sassi di Matera นั้นจึงแปลว่า หินแห่งมาแตร์ร่า ซึ่งกล่าวถึง เมืองในหิน เหล่าบ้านถ้ำที่เจาะหินเข้าไปเป็นที่อยู่อาศัย แล้วมันกลายเป็นเมืองถ้ำที่สลับซับซ้อน ไปตามเนินหินตามธรรมชาติ ทำให้อาคารทั้งหมดอยู่เหมือนเขาวงกต หากอ่านรีวิวในภาษาอังกฤษบางทีก็เรียก Web บางทีก็เรียก Complex เพราะมันดูใยสลับซับซ้อนกันไปหมด และนั่นคือความเป็นเอกลักษณ์ ที่ทำให้ Matera ไม่เหมือนที่ไหนในโลก จนทำให้ผู้คนหลั่งไหลกันมาเพื่อสัมผัสความมหัศจรรย์นี้ซักครั้ง

ประวัติศาสตร์ของ Matera ถือว่าโชกโชนมากเลยทีเดียว ณ ตอนนี้ มีหลักฐานจากยุคหิน ที่ทำให้มีข้อสันนิฐานว่า Matera อาจจะเป็นเมืองโบราณที่มีผู้อาศัยอยู่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับที่ 3 รองจาก Aleppo ในซีเรีย และ Jericho ในเวสท์แบงค์ (บางแหล่งข้อมูลก็บอกว่าอายุ 7000 ปี บางที่ก็เคลมว่า 10,000 ปี ซึ่งก็เป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์) อย่างไรก็ตาม โบถส์ถ้ำกว่า 150 แห่ง ส่วนใหญ่มาจากยุคกลาง และยังมีภาพเขียน Fresco สไตล์ไบแซนไทน์ให้เราเห็น

แต่เรื่องราวของ Matera ไม่ได้มีแค่ประวัติศาสตร์เก่าๆ เท่านั้น Matera มีประวัติศาสตร์ที่ยังอยู่ในความทรงจำของคนรุ่นปู่ย่า เพราะที่นี่เคยประสบปัญหาความยากจน แร้นแค้น แถมยังเกิดโรคระบาด ทำให้รัฐบาลต้องอพยพผู้คนออกไปสร้างเมืองใหม่ ทำให้ในช่วง 1950s เมือง Matera กลายเป็นเมืองร้างเป็นครั้งแรกในรอบหมื่นปี

แต่แล้ว Matera ก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เมื่อ Unesco ยกให้ที่นี่เป็นมรดกโลกในปี 1993 และเป็นฉากถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง Passion of the Christ ชาวบ้านจึงเริ่มกลับมารีโนเวทที่อยู่อาศัยของตัวเอง จนกลายมาเป็นเมืองท่องเที่ยวที่บูมมากที่สุดในปีที่แล้ว ตอนที่ Matera ได้ถูกยกย่องให้เป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรม European Capital of Culture ปี 2019

หากไม่ทราบถึงประวัติศาสตร์เหล่านี้เลย ภาพ Matera ที่เราเห็น คือภาพของเมืองที่คึกคัก แลนด์สเคปที่ทำให้เราต้องทึ่ง การปล่อยใจเดินหลงที่ทำให้เวลาผ่านไปเร็วมาก และ ประสบการณ์ที่หาไม่ได้ในเมืองอื่นในอิตาลี หรือแม้แต่… เมืองอื่นในโลกนี้….

ภาพจากถนนแรนดอมในเมือง ส่วนภาพด้านขวามาจาก Terazza dell’Annunziata Caffe

ด้วยความที่ที่พักเราอยู่ตรงขอบเมือง เราจึงเริ่มการเดินเที่ยว Matera กันที่จัตุรัสหลักอย่าง Piazza Vittorio Veneto ที่มีระเบียงให้เราได้เห็นภาพพาโนราม่าของ Sassi di Matera เป็นภาพประทับใจแรก จากนั้นเรามุ่งหน้าไปทาง Via del Corso ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้า และยังถือว่าเป็นขอบเมือง ที่อยู่ในระนาบเดียวกับพื้นถนน อาคารยังเป็นอาคารร่วมสมัยเหมือนเมืองอิตาลีทั่วไป ส่วนตัว Sassi di Matera จริงๆ จะเป็นทางขึ้นลงบันไดและกำแพงหิน อย่างไม่มีแผนผังเลยค่ะ

ตรงนี้คือ Piazza S. Francesco

เดินมาตาม Via Duomo จะเริ่มเห็นวิว Sassi di Matera ทางซ้ายมืออยู่เรื่อยๆ เราจะมาถึง Duomo ของ Matera เป็นโบถส์ในยุค 1200s ที่มีการตกแต่งภายในได้อย่างงดงามเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากนั้นเราเลี้ยวมาตาม Via Muro ค่ะ จากตรงนี้จะมองเห็นลำธารและหุบเขาฝั่งตรงข้ามด้วยค่ะ ส่วนตรงหน้าเราเป็นโบถส์อีก 2 แห่ง ด้านซ้ายที่อยู่ด้านล่าง คือ Caveoso Church of Saint Peter และด้านบนทางขวาที่เห็นเป็นหินๆ แล้วมีไม้กางเขนด้านบนคือ โบถส์หิน Rupestrian Church of Saint Mary มีค่าเข้า 3.5 Euro ถ่ายรูปด้านในไม่ได้ แต่ด้านในมีภาพเขียน Fresco อยู่ค่ะ ลองเปิดชมภาพในเว็ป ยูเนสโก้ได้

ภาพนี้น่าจะทำให้เห็นภาพว่าที่เราพูดถึง ความซับซ้อนของผังเมืองคืออะไร โบถส์สองแห่งนี้อยู่ข้างกัน แต่อยู่คนละระนาบ จะเดินไปโบถส์ด้านบน ต้องเดินอ้อมทางคดเคี้ยวไป ทีเด็ดคือ หากสังเกตข้างโบถส์ด้านล่าง ตรงซุ้มโค้งกลางรูป เดินไปด้านหลังจะมีบ้านถ้ำ ซึ่งเป็นบ้านที่อนุรักษ์ไว้เป็นกึ่งพิพิธภัณฑ์ให้เราชมว่าสมัยก่อนเค้าอยู่กันยังไง

เดินลงมาถึงหน้าโบถส์ในรูปเมื่อกี้แล้วค่ะ

ในระหว่างที่เดินเล่นมา ก็จะมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายของฝากมากมายเลยค่ะ ที่นี่มีร้านขายของฝากที่เป็นงานฝีมือหลายอย่างมาก ค่อนข้างถูกใจเลยล่ะ

ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ นกหวีดรูปไก่ Cucú แห่ง Matera ซึ่งหมายถึงความอุดมสมบูรณ์และขับไล่สิ่งชั่วร้าย โดยมีประเพณีที่จะมอบ Cucu นี้ให้แก่เด็กชาย และ ผู้ชายจะมอบสิ่งนี้ให้ผู้หญิงเป็นการแสดงความรัก ซึ่งกล่าวกันว่า ความรักของผู้ชายจะมากตามขนาดของ Cucu ที่มอบให้ แปลว่า ถ้ารักมาก ต้องให้ Cucu อันใหญ่มากแก่ผู้หญิง ก็เป็นเรื่องเล่าน่ารักๆ ของที่นี่

เมื่อได้เป็นเมืองหลวงของวัฒนธรรม Matera ก็มีนิทรรศการมาจัดแสดงมากมาย ตอนที่เราไปมี 2 อีเวนท์ค่ะ อีเวนท์แรกคือ Dali Exhibition เป็นการตีความภาพเขียนของ Salvador Dali ออกมาเป็นปะติมากรรมอยู่ทั่วเมืองเลยค่ะ แฟนดาลีแบบเราต้องไปไล่เช็คอินเกือบครบเลย ส่วนอีกอีเวนท์ที่จัดวันที่เราไปพอดีคือ Free Running ของ Red Bull ฟรีรันนิ่งคือกีฬาเอ็กซ์ตรีม ที่คนเล่นจะกระโดด วิ่ง ไต่ ข้ามอุปสรรคไปเรื่อยๆ แล้วคิดดูว่า มาไต่ และ กระโดด อยู่ในเมืองที่หลังคาบ้าน ลดหลั่นเป็นขั้นๆ เต็มไปหมด มันดูน่าทึ่งมากๆ

ได้เวลาอาหารเที่ยง วันนี้เรามาทานกันที่โรงแรม Aquatio Cave Luxury Hotel & Spa ซึ่งห้องเต็มค่ะ แต่ร้านอาหาร และ สปา ดีมาก เป็นโรงแรมในถ้ำนะ นี่คือทางเข้า

บรรยากาศในร้านจะประมาณนี้

วันนี้ได้ทาน Cacio e Pepe (พาสต้า Cacio e Pepe เนี่ยว่ากันว่าเป็นที่มาของ พาสต้า อัลเฟรดโด้นะ เพราะที่อิตาลีไม่มีพาสต้าอัลเฟรดโด้ และถ้าคุยกับคนอิตาเลียนที่ไม่รู้วัฒนธรรมนอกประเทศ ก็จะไม่รู้จัก แต่ Cacio e Pepe แปลว่า ชีสกับพริกไทยค่ะ) ส่วนเมนดิชเป็น Veal in bread crust เนื้อนุ่ม ครัสท์กรอบ เสิร์ฟกับของดีบาซิลิกาต้าอย่าง Crusco Pepper

บรรยากาศของสปาค่ะ

เดินเล่นกันต่อ เห็นภาพนาฬิกาแล้วน่าจะทราบเลยว่า มาจากมาสเตอร์พีซของดาลี

ช่วงบ่ายๆ เราก็เน้นเดินเล่น เริ่มซื้อของ นั่งชิว ใครอยากได้วิวพาโนราม่าแบบแกรนด์ๆ ภาพโปสการ์ด ต้องนั่งรถบัสข้ามไปอีกฝั่งของลำธาร ภาพสวยมาก แต่เราขี้เกียจค่ะ เลยเดินมาไม่ไกลจากโรงแรมมาก ตรงนี้เราอยู่กันแถวๆ Via San Biagio มุ่งหน้าไปทาง Convento di Sant’Agostino มีจุดให้ถ่ายรูปตลอดทางค่ะ

หากใครชอบบรรยากาศ นั่งทานไวน์ Aperitivo ตอนกลางคืน และไม่อยากเดินซอกแซกตามเขาวงกตใน Sassi di Matera สามารถปักหมุดระหว่าง Piazza del Sedile – Piazza San Francesco และ Piazza Giovanni Pascoli ซึ่งเราถือว่าเป็นขอบของเมืองเก่าค่ะ ไม่ต้องเดินขึ้นลง บรรยากาศครึกครื้น ผู้คนมาแฮงค์เอาท์กันเยอะเลยค่ะ

ส่วนเรามาจบกันที่ร้าน L’Arturo อยู่ตรง Piazza del Sedile เป็นสไตล์บิสโทรๆ

ตอนกลางคืนก็สวยไม่แพ้ช่วงกลางวันเลยค่ะ


ที่พักใน Matera

เราพักกันที่ Hotel San Domenico Al Piano แต่จริงๆ อยากพักในบ้านถ้ำมาก ถ้าใครมีโอกาสลองดูลิสท์โรงแรมด้านล่างนี้ได้นะคะ

Aquatio Cave Luxury Hotel >> คลิ๊กที่นี่ เพื่อเช็คราคาและจองได้เลยค่ะ 

il Palazzotto Residence >> คลิ๊กที่นี่ เพื่อเช็คราคาและจองได้เลยค่ะ

Sextantio Le Grotte Della Civita >> คลิ๊กที่นี่ เพื่อเช็คราคาและจองได้เลยค่ะ

Sant’Angelo Luxury Resort >> คลิ๊กที่นี่ เพื่อเช็คราคาและจองได้เลยค่ะ

Sassi Suite >> คลิ๊กที่นี่ เพื่อเช็คราคาและจองได้เลยค่ะ


ในตอนถัดไป เราจะขึ้นเขาไปยังหมู่บ้าน ที่เป็นหนึ่งในสมาชิก ‘The Most Beautiful Villages in Italy’ อย่าง Castelmezzano และ Pietrapertosa โดยการข้ามหมู่บ้านในครั้งนี้ บอกเลยว่าไม่ธรรมดา เราจะข้ามหมู่บ้านกันด้วยการโหนซิปไลน์!!!! ไปอ่านกันเลย!


สามารถอ่านรีวิวการท่องเที่ยว Unseen Italy ทั้งหมด 8 ตอน ได้ที่

[Unseen Italy ตอนที่ 1] เที่ยว ทิโวลี (Tivoli) เมืองสวยใกล้โรม อีกหนึ่งมรดกโลกสำคัญของอิตาลี

[Unseen Italy ตอนที่ 2] เที่ยว Naples-Pompeii ทำพิซซ่าถึงเมืองบ้านเกิด ดินแดนประวัติศาสตร์ จิบไวน์ภูเขาไฟ

[Unseen Italy ตอนที่ 3] เที่ยว Caserta พระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และ Outlet ใกล้ Naples

[Unseen Italy ตอนที่ 4] เที่ยว Alberobello หมู่บ้านแสนน่ารัก ในแคว้นตรงส้นรองเท้าบู้ท Puglia

[Unseen Italy ตอนที่ 5] เที่ยว Lecce เมืองศิลปะ Italian Baroque แสนอลังการ และ Gallipoli เมืองท่าย้อนยุค ทางตอนใต้ของอิตาลี

[Unseen Italy ตอนที่ 6] เที่ยว Ostuni เมืองสีขาวบนชายฝั่งอิตาลีตอนใต้ และ ที่พักแบบ Masseria

[Unseen Italy ตอนที่ 7] มหัศจรรย์ “Matera” เมืองถ้ำหินเขาวงกต มรดกโลกจากอิตาลี ที่ต้องมาสัมผัสซักครั้ง

[Unseen Italy ตอนที่ 8] โหนซิปไลน์ข้ามหมู่บ้านที่สวยที่สุดในอิตาลี Castelmezzano – Pietrapertosa

อ่านรีวิวการบินไทย บินตรง กทม. – โรม  Click Here

สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!

หากชอบรีวิว ช่วยกดไลค์เพจเป็นกำลังใจให้หน่อยนะคะ อย่าลืมติดตามไอจี @eatchillwander ขอบคุณมากๆ ค่า




ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com

error: