[เที่ยว จอร์เจีย ด้วยตัวเอง Ep. 6] ‘Tbilisi’ เมืองหลวงทรงสเน่ห์ เพชรเม็ดงามแห่งดินแดนคอเคซัส

มาเที่ยวจอร์เจียกันต่อเลยนะคะ!! จากความเดิมตอนที่แล้ว เราได้เดินเที่ยวยามค่ำคืน ในเมือง Tbilisi (อ่านว่า ทบิลิซี่ นะคะ) เมืองหลวงของ จอร์เจีย รวมไปถึงการเดินเล่นในเมืองเก่า นิดๆ หน่อยๆ ในตอนนี้ เราจะพาไปเที่ยวเมือง Tbilisi เต็มๆ วัน ก่อนที่จะขึ้นรถไฟแบบนอน เพื่อเดินทางไปต่อที่เมือง Baku ประเทศอาเซอร์ไบจาน กันค่ะ

หากใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนที่แล้ว สามารถคลิ๊กที่นี่ได้เลย

วันนี้ เราเดินทั้งวันและแทบไม่ได้ใช้รถโดยสารเลย แต่อาจจะต้องเดินเก่งนิดนึง แต่เราคิดว่าเมือง ทบิลิซี่ เป็นเมืองที่เหมาะกับการเดินมากๆ เพราะจะได้เห็นอะไรเยอะมาก


Abanotubani – Sulfur Bath

ช่วง 9 โมงเช้า เรานัดให้บริษัทเช่ารถ ส่งคนมารับรถเราที่จอดไว้หน้าที่พัก ซึ่งเค้าก็ดูสภาพโดยรวมรอบๆ ดูน้ำมัน ไม่ได้ดูอะไรละเอียด และก็ขับออกไป ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีเหมือนตอนที่มาส่งรถให้เรา

จากนั้น เราก็เริ่มเดินจากที่พัก เลาะเมืองเก่าเพื่อที่จะไปยังย่าน Abanotubani หรือย่านบ่อน้ำแร่ซัลเฟอร์ โบราณนั่นเอง

ต้องยอมรับว่า บรรยากาศระหว่างทาง ก็จะมีอาคารเก่าๆ ดูผุพัง ถนนดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ก็เดินได้อย่างปลอดภัยดี ที่สำคัญ เวลาเราเหยียบไปบนทางม้าลาย รถที่นี่ก็จะหยุดทันที ไม่ต้องคอยห่วงเหมือนที่ไทย

รูปด้านล่างจะเป็นรูปอนุสรณ์ Mother of Georgia (Kartlis Deda)  มือหนึ่งถือไวน์ อีกมือถือดาบ เป็นอนุสรณ์ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 1958 เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 1500 ปีของเมือง Tbilisi ค่ะ สามารถขึ้นไปชมได้ แต่อนุสรณ์นี้ก็ตั้งเด่น เห็นได้จากทั่วเมืองเลยค่ะ

บรรยากาศตึกราบ้านช่องระหว่างทาง สีสันสดใส เดินเพลินมากๆ

ที่ Tbilisi จะมีหน้าต่างยื่นๆ ออกมาแบบนี้จากตัวอาคาร ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ จริงๆ อีกที่ที่เคยเห็นหน้าต่างแบบนี้คือที่ประเทศมอลต้า ไม่รู้ไปเชื่อมโยงกันยังไงเหมือนกัน

และแล้วเราก็เดินมาถึงบริเวณบ่อน้ำร้อนซัลเฟอร์ค่ะ ที่เห็นเป็นหลังคาอิฐโดมๆ ขึ้นมา จะเป็นห้องอาบน้ำร้อนอยู่ด้านล่างค่ะ โดยมีทั้งบ่อแยกชายหญิง หรือ ห้องอาบน้ำส่วนตัว แล้วแต่เราจะเลือกค่ะ นอกจากการแช่น้ำร้อน ในแต่ละเจ้า เค้าก็จะมีบริการ นวด หรือ สปา แตกต่างกันไปค่ะ บางทีก็ออกแบบแบบ Hamam แบบตุรกีเลยค่ะ

ตรงจุดนี้ สามารถเสิร์ชในกูเกิ้ลแมพว่า Orbeliani Baths ได้เลยนะคะ

Orbeliani Baths เป็นชื่อของอาคารในรูป เป็นโรงอาบน้ำชื่อดังค่ะ แต่เราอ่านรีวิวจากที่ต่างๆ ความเห็นค่อนข้างไปในทางลบนะคะ ว่าแพงและไม่ดีสมราคา

ส่วนตรงที่เห็นเป็นโดมๆ อิฐๆ นี่มีโรงอาบน้ำอยู่ประมาณ 4-5 เจ้าค่ะ

เดินมาเจอหน้าร้านไวน์ น่ารักมาก ที่ชอบทบิลิซี่อีกอย่างก็เพราะว่าเป็นเมืองที่ ไวน์บาร์เยอะมากกกก เราชอบคัลเจอร์ไวน์บาร์มากๆ เลยค่ะ เพราะมันชิมได้หลายตัว ทำให้เราได้ลองโปร์ไฟล์รสชาติหลายๆ แบบดีค่ะ ที่ไทยไม่ค่อยมีเลย

ตรงนี้เป็นจุดเดียวที่เค้าให้เดินขึ้นมาบนหลังคาได้นะคะ ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแลนด์มาร์ก ของ ทบิลิซี่ จอร์เจีย ค่ะ สวยงามแปลกตามากจริงๆ อยู่บริเวณเดียวกันเลยค่ะ เดินถึงกันหมด

เกือบเที่ยงแล้ว เราเลยแวะกินร้านแรนดอมแถวๆ นั้นค่ะ แถวนี้มีร้านอาหารเยอะมาก ไม่ต้องห่วงเลย

เนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้าย เราเลยเลือกกินเมนูที่เราชอบ อย่างหมูทอดในหม้อดินและ Khinkali ค่ะ

ส่วนน้ำเลม่อนยี่ห้อนี้ อยากให้ลองทานนะคะ เราชอบมากๆ เป็นสิ่งที่อยากขนกลับมาไทยด้วย มันรสชาติประมาณน้ำเลม่อนกึ่งสไปรท์ ไม่หวานมาก ละมุนๆ ดี ชอบมากเลยค่ะ กินเกือบตลอดเลย


Rike Park

หลังจากเที่ยวย่าน Abanotubani เสร็จ เราก็เดินข้ามสะพานมาฝั่งตรงข้ามค่ะ จากฝั่งนี้เราก็จะมองกลับไปเห็น Old Tbilisi เราเดินขึ้นมายัง อนุสรณ์ Statue of King Vakhtang Gorgasali ซึ่งมีโบถส์เล็กๆ ตั้งอยู่ และมองเห็นวิวกว้างค่ะ

จากนั้น เราจึงเดินข้ามถนนเข้ามายัง Rike Park ค่ะ เป็นสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นทางขึ้น กระเช้าลอยฟ้าที่จะขึ้นไปยังป้อม Narikala เพื่อชมวิวจากข้างบนได้ โดยค่าขึ้นอยู่ที่ 1 ลารี่ ต่อขา เท่านั้นค่ะ

นอกจากทางขึ้น เคเบิลคาร์ ลอยฟ้า ในสวน Rike Park ยังเป็นที่ตั้งของสถาปัตยกรรมโมเดิร์นแปลกตา 2 แห่ง คือ  สะพาน The Bridge of Peace และ Rike Concert Hall

Rike Concert Hall ฮอลล์จัดแสดงคอนเสิร์ตหน้าตาโมเดิร์น ส่วนที่เห็นอยู่ถนนด้านบน จะเป็นอาคารรัฐสภา

น่าเสียดายที่ด้านในไม่ได้เปิดใช้งาน และเราไม่สามารถเข้าไปชมได้ แต่เท่าที่ดูคือ อาคารรูปท่อสองแห่งนี้ เชื่อมกันอยู่

ด้านหน้ามีเปียโนยักษ์ เด็กๆ ปีนป่ายขึ้นไปเล่น

ตรงหน้าเป็น The Bridge of Peace ซึ่งเป็นสะพานคนข้าม ที่นักท่องเที่ยวมักจะมาถ่ายรูปกัน ด้านบนสะพานจะมีคนขายทัวร์ล่องเรือแม่น้ำ Mtkvari อยู่ตลอดทาง


Rezo Gabriadze Marionette Theater

เราเดินข้ามสะพาน The Bridge of Peace และเดินผ่านคาสิโนใหญ่ เข้าสู่ถนนคนเดิน Ioane Shavtelli Street เป็นอีกหนึ่งถนนคนเดินที่เต็มไปด้วยคาเฟ่ และ ร้านอาหาร

เราเดินมาจนถึง หอนาฬิกาแสนน่ารัก ซึ่งเป็นที่ที่ว่ากันว่าถูกเช็คอินใน อินสตาแกรมมากที่สุดใน ทบิลิซี่ หอนาฬิกาแห่งนี้จริงๆ แล้วเป็นที่ขายตั๋วของโรงละคร Rezo Gabriadze Marionette นั่นเอง

ติดกันจะมี Anchiskhati Basilica ซึ่งเป็นโบถส์เก่าแก่ และเราเห็นกรุ๊ปทัวร์เข้าไปกันอยู่ แต่เราเห็นโบถส์ค่อนข้างซ้ำ จนเบื่อ เลยเลือกที่จะหาคาเฟ่นั่งชิวมากกว่า

ลูกเล่นน่ารักๆ บนถนนคนเดินเส้นนี้

เราแวะ Cafe Leila อยู่เยื้องๆ หอนาฬิกาเลยค่ะ หาไม่ยากเลย เข้ามาก็ต้องตกใจกับความอลังการของการตกแต่ง สวยงามแปลกตามาก บรรยากาศดีมาก เป็นบรรยากาศอบอุ่นๆ เหมือนมานั่งกินกาแฟบ้านเพื่อน ขนมอร่อย


Dry Bridge Market

จากตรงนี้ เราก็มุ่งหน้าเดินไปยัง ตลาดของวินเทจแบกับดิน ที่มีชื่อว่า Dry Bridge Market ระหว่างทาง ก็จะผ่านอาคารคล้ายๆ ศูนย์ราชการของที่นี่ จะเห็นคนแต่งตัวแบบออฟฟิศๆ เดินเข้าออก ติดต่องานกันเยอะมาก

สะพานลอยและอาคารนี้ ดูดี มีดีไซน์ อีกแล้วค่ะ

เดินเล่นผ่านสวน มานิดนึง ก็จะเจอตลาดนัด Dry Bridge ซึ่งเน้นขายของวินเทจและของเก่านะคะ ตาดีได้ ตาร้ายเสีย หากใครไม่ชอบก็ข้ามไปได้เลยค่ะ ของที่น่าใจ เราว่าเป็นพวกของที่หลงเหลือจากสหภาพโซเวียตค่ะ

จากนั้นเราก็เดินข้ามมาฝั่ง New Tiflis ที่เราไปกันมาเมื่อวันแรก เดินเล่นเรื่อยเปื่อย แวะซื้อของฝากนู่นนี่

เราเดินเรื่อยๆ ก็กลับมาเจอสถานีรถไฟใต้ดิน Manishvilli สถานีเดียวกับที่เราลงครั้งแรกค่ะ พอดีเห็นมี แมคโดนัลส์อยู่แล้วสงสัยในราคา เลยแวะเข้าไปดู เซ็ทแมคนักเก็ตส์ 9 ชิ้น พร้อมเฟร้นฟรายส์ใหญ่ โค้กใหญ่ และ ซอสชีส ทั้งหมดมาในราคา 120 บาทจ้าาาา ได้นักเก็ต 9 ชิ้น ดีมาก รู้เลยว่าชอบกินฟาสท์ฟู้ด 5555 ขึ้นไปนั่งชั้นสองนะ วิวดี


Rustaveli Avenue

วันนี้ รู้สึกสโลว์ไลฟ์มากเลยค่ะ เดินๆ หยุดๆ รถไฟจะออก สองทุ่มครึ่ง ซึ่งเราตั้งใจไปถึงสถานีประมาณทุ่มกว่าๆ แต่ตอนนี้ยังไม่ 5 โมงเลย ก็เลยมีเวลาช้อปปิ้งไปเรื่อย เราเลือกที่จะมาเดินเล่นบน Rustaveli Avenue ซึ่งมีร้านค้าแบรนด์ต่างๆ ที่เราคุ้นเคย อย่างแบรนด์ Zara ก็จะถูกกว่าไทยอยู่ครึ่งนึง(ราคาปกติ) แฮปปี้มาก

โผล่ขึ้นมาจากสถานีใต้ดิน Rustaveli ก็จะเจอแบบนี้

เราเดินหาร้านหนังสือภาษาอังกฤษ เพราะตั้งใจจะหาหนังสือไปอ่านบนรถไฟ ก็เลยมาเจอคาเฟ่ในร้านหนังสือร้านนี้ Prospero’s Book เป็นร้านขายหนังสือภาษาอังกฤษทั้งร้าน แต่หนังสือไม่ได้เยอะขนาดนั้น หนังสือที่น่าสนใจคือพวกหนังสือที่เป็นวรรณกรรมหรือประวัติศาสตร์ การเมือง เกี่ยวกับภูมิภาคนี้

เดินมาเรื่อยๆ ก็จะพบกับ อีกจุดหนึ่งที่เราตั้งใจมาชม ที่นี่คือ Opera and Ballet Theatre of Tbilisi เป็นโรงโอเปร่าและบัลเล่ต์ ซึ่งมีการแสดงเรื่อยๆ

สีสันสะดุดตา และ มีฟาซาดที่สวยงาม

บรรยากาศรอบๆ

บรรยากาศตามถนน Rustaveli Avenue ที่เราเดินมา

เดินๆ มา เจอร้านนี้ ซึ่งเราชอบคาเฟ่สไตล์แบบนี้อยู่แล้วเลยต้องแวะซักหน่อย แต่เย็นแล้วเลยกินได้แค่ชา และ ช๊อคโกแลตร้อน ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง (จริงๆ คงไม่มีอะไรทำให้ผิดหวังเท่าไหร่ เพราะราคาเครื่องดื่มที่นี่น่ารักมาก แก้วละ 5-6  ลารี่)

จริงๆ บนถนนแห่งนี้ มีอาคารและสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอีกหลายแห่งมาก ทั้งโบถส์ และ พิพิธภัณฑ์ ถนนเส้นนี้เป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ MOMA Tbilisi หรือ Museum of Modern Art Tbilisi, พระราชวัง Vorontsov’s Palace (ไม่เปิดให้เข้าชมด้านใน) ไปจนถึง พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติจอร์เจีย (Georgian National Museum) ส่วนเราแวะแต่ช้อปปิ้งกับคาเฟ่ จนกลับมาถึง Liberty’s Square ก็พบว่าอยู่ใกล้ที่พักมากๆ แล้ว

เรากลับไปยังที่พักซึ่งเราคุยกับเค้าไว้ว่าจะขอกลับมาอาบน้ำตอนเย็น (เช็คเอาท์ไปตั้งแต่เช้าแล้ว) ด้วยความเป็นโฮมสเตย์ คุณยายเจ้าของบ้านจึงไม่ได้ว่าอะไร เตรียมผ้าเช็ดตัวให้เป็นอย่างดี ก่อนที่เราจะอาบน้ำ แพ๊คของและ นั่งรถไฟใต้ดินจากตรงนี้ไปยังสถานีรถไฟได้เลย


เก็บตกจาก Tbilisi

1. เราชอบเมืองนี้ เพราะเมืองนี้เป็นเมืองที่มี Wine Culture ค่ะ เราจะเห็น Wine Bar/Wine Shop เยอะมากๆ แบบทุกมุมถนน เยอะพอๆ กับเซเว่นในกรุงเทพ ซึ่งคัลเจอร์นี้ จะคล้ายๆ อิตาลีกับฝรั่งเศสเลย ไวน์ที่นี่ขวดที่ดีๆ ก็ยังราคาไม่แพงมากค่ะ มีหลายร้านที่มีขายให้ชิมเป็นแก้ว ซึ่งทำให้ได้ลองโปรไฟล์รสชาติหลายแบบเลย และแม้แต่ในคาเฟ่ ก็จะมีไวน์ขาย เดินไปทางไหนก็เจอ Wine Bar ค่ะ

2. ผลไม้ที่นี่ราคาน่ารักมาก และด้วยความที่ยังเป็นประเทศที่ยังมีเกษตรกรรม ทำให้ผลไม้ท้องถิ่นดูดีมากๆ เลยค่ะ เรากินเชอร์รี่หมดเป็นกิโลๆ ทุกวันเลย

3. ทบิลิซี่ นับเป็นเมืองที่มีตึกหน้าตาประหลาดๆ เยอะมาก อย่างภาพด้านล่างเป็น Bank of Georgia ซึ่งเราจะได้ผ่านเวลาขับรถไปเมือง Mskheta ค่ะ

4. คนที่นี่น่ารัก คุณย่าคนนี้ เป็นโฮสท์ที่เราไปโฮมสเตย์ค่ะ น่ารัก ดูแลเราเหมือนลูกเหมือนหลาน คอยเช็คว่า น้ำอุ่นมั้ย มีน้ำกินมั้ย ผ้าห่มพอมั้ย กินอะไรรึยัง แม้จะคุยกันเป็นภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง

จริงๆ คนที่นี่ก็ให้การช่วยเหลือดีเลยนะคะ แค่ในย่านท่องเที่ยว ก็จะมีคนชอบมาขายทัวร์หรือชวนเข้าร้านอาหารที่ทำให้น่ารำคาญ เราก็เดินนิ่งๆ ไม่ต้องสนใจ


เรามาถึงสถานีรถไฟทุ่มกว่าๆ สามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Station Square ได้เลย กำหนดการรถไฟออกคือ 20.35 น. และจะไปถึงเมือง Baku ประเทศอาเซอร์ไบจาน เวลา 9 โมงเช้า

ตอนถัดไป เราจะรีวิวการเดินทางโดยรถไฟนอน ข้ามประเทศ ซึ่งเป็นครั้งที่ 5 ในชีวิตเราที่ได้มีโอกาสนอนข้ามประเทศ จะผ่านตม. ยังไง กินนอนยังไง ไปอ่านต่อเลย [รีวิว] รถไฟข้ามประเทศ จอร์เจีย – อาเซอร์ไบจาน [Tbilisi-Baku Train]


บทความนี้ เป็นส่วนหนึ่งของรีวิว ทริปจอร์เจีย-อาเซอร์ไบจาน ผ่านบาห์เรน ซึ่งสามารถติดตามอ่านได้ดังนี้

[เที่ยวจอร์เจียด้วยตัวเอง Ep.1] รู้จัก จอร์เจีย และตอบคำถามที่ทุกคนสงสัย
[เที่ยวจอร์เจียด้วยตัวเอง Ep.2] แผนการเดินทาง และ ค่าใช้จ่ายในการเที่ยวจอร์เจีย
[เที่ยวจอร์เจียด้วยตัวเอง Ep. 3] วันแรกใน Tbilisi ฝั่งใหม่ ย่านฮิปๆ ที่ต้องไปเช็คอิน
[เที่ยวจอร์เจียด้วยตัวเอง Ep. 4] ถนนประวัติศาสตร์มุ่งหน้าสู่เทือกเขาคอเคซัส กับที่พักวิวหลักล้าน
[เที่ยวจอร์เจียด้วยตัวเอง Ep.5] ‘Gori’ บ้านเกิดสตาลิน เมืองโบราณในหิน และการทำไวน์จอร์เจีย
[เที่ยวจอร์เจียด้วยตัวเอง Ep. 6] ‘Tbilisi’ เมืองหลวงทรงสเน่ห์ เพชรเม็ดงามแห่งดินแดนคอเคซัส

[เที่ยว อาเซอร์ไบจาน ด้วยตัวเอง] ‘Baku’ เมืองหลวงแห่งความหลากหลายที่ต้องมาให้ได้ซักครั้ง

[รีวิว] รถไฟข้ามประเทศ จอร์เจีย – อาเซอร์ไบจาน [Tbilisi-Baku Train]

[รีวิว] Gulf Air สายการบินแห่งชาติบาห์เรน กับเส้นทางบิน กรุงเทพ-บาห์เรน-ทบิลิซี่-บากู
[Bahrain Transit] เที่ยวบาห์เรน แบบสั้นๆ ระหว่างแวะเปลี่ยนเครื่องกับสายการบิน Gulf Air

วิธีการขอ วีซ่า อาเซอร์ไบจาน ออนไลน์ สะดวก ง่ายและประหยัด [Azerbaijan E-Visa]

สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!

หากชอบรีวิว ช่วยกดไลค์เพจเป็นกำลังใจให้หน่อยนะคะ หรือไปตามไอจี @eatchillwander อัพเดทกันแบบเรียลไทม์ขอบคุณมากๆ ค่า



error: