ขับรถเที่ยว ไอซ์แลนด์ ด้วยตัวเองในฤดูหนาว [ตอนที่ 2] ชมธรรมชาติแสนมหัศจรรย์

ต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว เราได้ขับรถเที่ยวไอซ์แลนด์ โดยออกจากเมืองหลวง Reykjavik ไปเริ่มวันแรกที่เส้นทางท่องเที่ยวยอดฮิตอย่าง Golden Circle แล้วจึงขับล่าแสงเหนือ ตรงยาวไปนอนที่เมือง Höfn เพื่อที่วันนี้ เราจะขับรถกลับมาเที่ยวอุทยานแห่งชาติ Vatnajökull ได้อย่างสะดวกและไม่รีบร้อนนักในช่วงเช้า
หากใครยังไม่ได้อ่าน ขับรถเที่ยวไอซ์แลนด์ด้วยตัวเอง ตอนที่ 1 สามารถคลิ๊กที่นี่ได้เลยค่ะ!
สำหรับคนที่อยากเที่ยวรูทเดียวกับเรา ทริปสั้นๆ ครบรส แต่ไม่สะดวกขับรถเอง แนะนำ ซื้อทัวร์ 3 วันที่เค้ารวมทุกอย่างไว้แล้ว >> คลิ๊กที่นี่
Day 3 Diamond Beach, Jökulsárlón เดินบนกลาเซียร์
เราขับรถออกมาจาก Höfn ที่พักเมื่อคืน ซึ่งใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมง
อย่างที่กล่าวไปตอนที่แล้วว่า เราอยากขับรถหาแสงเหนือ แต่ก็อยากมาทัวร์ถ้ำน้ำแข็ง Ice Cave ด้วย จึงต้องหาทัวร์ถ้ำน้ำแข็ง Ice Cave ที่สามารถเริ่มทัวร์จากที่ Jokulsarlon กลาเซียร์ลากูนได้เลยค่ะ มีหลายทัวร์ที่เริ่มออกจากเมืองหลวง Reykjavik เหมือนกัน ต้องลองเลือกดูนะคะ
เราเลือกใช้ Guide To Iceland ค่ะ เป็นเว็ปไซต์ที่รวบรวมทัวร์แทบจะทั้งหมดที่มีในไอซ์แลนด์แล้ว แล้วก็ยังมีที่พัก บริการเช่ารถ พร้อมกับข้อมูลที่เราเข้าไปอ่านได้เลยค่ะ เราชอบที่เว็ปเค้าไม่ได้เน้นขายของอย่างเดียว เพราะบทความในเว็ปมีประโยชน์มากๆ มีบทความภาษาไทยด้วยนะคะ ตอบทุกคำถามเลย ทั้งเรื่องการขับรถ เส้นทาง กิจกรรม บ่อน้ำร้อน มีครบทุกอย่าง คลิ๊กไปอ่านได้เลย Guidetoiceland.is
บรรยากาศตอนขับรถออกมา นี่ 10 โมงกว่าแล้วนะคะ

ทัวร์ Ice Cave ที่เราจองไว้ เป็นทัวร์ความยาวประมาณ 2.5 – 3 ชั่วโมงค่ะ มีวันละ 2 รอบ เราจองรอบ 13.00 น. ไว้เพื่อที่จะได้มีเวลา มาเที่ยวที่ Diamond Beach หาดที่เรารู้สึกว่ามันน่ามหัศจรรย์มากๆ แบบ ธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้ยังไงกันนะ
การขับรถในไอซ์แลนด์ แม้ระยะทางจะไม่ไกล แต่ขอให้เผื่อเวลากันซักนิดนึงนะคะ เพราะถนนเป็นเส้นเล็ก สวนกัน ถ้าคันนึงช้า อาจจะช้าตามๆ กัน บางที่อาจจะเจอหิมะตกหนัก ก็ต้องขับช้ามาก ถนนก็ลื่น ไหนจะลมแรงบ้าง ฝูงแกะมาล้อมบ้าง อุปสรรคตลอดทาง อย่างจากที่พักมาตรงนี้ แค่ 80 กม. แต่เราก็ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ เลยทีเดียวค่ะ
บรรยากาศประมาณ 11 โมง ที่ Diamond Beach สามารถเลี้ยวรถเข้ามาจอดริมหาดได้เลยค่ะ
สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจมากๆ นอกจากหาดทรายที่นี่จะเป็นสีดำสนิท เพราะเป็นหินภูเขาไฟแล้ว มองไปสุดหาด ก็จะเห็นก้อนน้ำแข็งอยู่เต็มไปหมด ซึ่งตอนแรกดูรูปก็รู้สึกว่าแปลกตา แต่พอมาเจอของจริง ก้อนน้ำแข็งมันใหญ่มากนะคะ มันเป็นรูปทรงอิสระแตกต่างกัน แล้วมันใหญ่แบบ เราขึ้นไปนั่งได้ มีเยอะมากๆ แปลกตามาก
จากนั้น เราก็ข้ามฝั่งถนนไปจอดรถตรงจุดนัดพบ สำหรับการไปทัวร์ Ice Cave ในวันนี้ค่ะ
ทัวร์ที่เราจองมีชื่อว่า Ice Cave Tour by Vatnajokull Glacier คลิ๊กเพื่อเข้าไปจองหรือดูรายละเอียดทัวร์ได้เลยค่ะ
เป็นกิจกรรมที่เราจ่ายแพงที่สุดในทริปแล้ว แต่คุ้มค่ามากๆ ค่ะ
Vatnajokull นั้นเป็นชื่อของอุทยานแห่งชาติ และ ชื่อของ ธารน้ำแข็งกลาเซียร์ ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในยุโรปค่ะ
โดยถ้ำน้ำแข็งที่เราจะไปดูนั้น เกิดขึ้นตามธรรมชาตินะคะ เข้าชมได้เฉพาะช่วงฤดูหนาวเท่านั้น และการมาแต่ละปี จะไม่เหมือนกัน เพราะทีมงานเค้าจะต้องมาหาดูก่อนว่าธรรมชาติสร้างถ้ำในขึ้นมาในปีนี้ และถ้ำไหนเข้าชมได้อย่างปลอดภัยบ้าง
(หมายเหตุ * คำว่า Glacier ตอนเด็กๆ เราค่อนข้างอิงสื่ออเมริกัน เลยอ่านคำนี้ว่า “เกล-เชอร์” มาตลอดเลยค่ะ ไกด์ที่นี่เองก็ยังอิงสำเนียงอเมริกันอ่านว่า เกล-เชอร์ แต่ภาษาอังกฤษบางสำเนียงจะอ่านว่า กลาเซียร์ กลาซิเออร์ แต่เราเห็นภาษาไทยมักเขียนว่า กลาเซียร์ เลยเขียนตามค่ะ)
เรานำอาหารที่แพ๊คไว้มานั่งทานแถวๆ คาเฟ่ที่ทัวร์จะเริ่มค่ะ โดยจุดนี้จะอยู่ตรง Jokulsalon Glacier Lagoon เลยค่ะ Glacier Lagoon นี้ เที่ยวหน้าร้อนกับหน้าหนาวจะไม่เหมือนกันนะคะ หน้าร้อน ระหว่างเดือน กค. – ตค. เค้าจะมีพวกทัวร์ล่องเรือเข้าไปในลากูนแห่งนี้ เพื่อชมสัตว์และธารน้ำแข็งด้วยค่ะ เป็นอีกภาพที่อลังการและทำให้เราอยากกลับมาในฤดูร้อนมากๆ ถ้าโชคดีก็จะเจอน้องอุ๋งค่ะ
ครั้งนี้มาหน้าหนาว ก็เน้นเดินบนธารน้ำแข็งแทนค่ะ เพราะกิจกรรมที่เรากำลังจะทำ หน้าร้อนก็ทำไม่ได้เช่นกัน
Amazing มากๆ
ถึงเวลาทัวร์แล้วค่ะ ทัวร์เริ่มจากการนั่งรถ โฟร์วีล จากตรงคาเฟ่ ขึ้นไปบนธารน้ำแข็งค่ะ ใช้เวลาซักพักนึงเลย ตรงนี้ทางจะขรุขระ กระเทือนนิดนึงนะคะ
เค้าจะมาจอดตรงที่จอดได้ และเราต้องเดินเข้าไปค่ะ
สำคัญมากๆ
1. ที่เราบอกไปในเรื่องการแต่งกายตอนที่แล้ว ว่ารองเท้าต้องเป็นรองเท้า Trekking Shoes หรือ Hiking Shoes เพราะเราจะต้องใส่ Crampon ในการไปเดินค่ะ Crampon คือสายรัดพื้นรองเท้าที่เป็นเหมือนตะปูแหลมๆ ให้รองเท้าเรายึดเกาะกับพื้นน้ำแข็งได้ค่ะ
2. ต้องเดินเป็นเส้นตรง ตามไกด์เท่านั้น เพราะ เราไม่มีทางรู้เลยว่า ข้างๆ เรานั้น เป็นหลุมลึกที่หิมะปกคลุมพลางตาอยู่รึป่าว ตกลงไปตายได้เลยนะคะ ถ้าดูจากถ้ำที่เราลงไปดู มันลึกมาก คิดดูว่า ถ้าเราไม่รู้แล้วเหยียบไปบนหิมะแล้วยวบลงไป น่าจะสาหัส — ตรงนี้บอกไว้ก่อนว่า ไกด์เดินไม่เร็วมาก แต่เดินไม่หยุดเลย มันขึ้นเขานิดๆ พวกเราหอบกันหมด ใครเดินไม่เก่ง ออกกำลังกายมาก่อนนิดนึงก็จะดีค่ะ
ข้อมูลทั้งหมดนี้ Guide to Iceland จะแจ้งเราไว้ทั้งหมดแล้วค่ะ มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษเลย (เว็ปเป็นของไอซ์แลนด์นะคะ ทัวร์และไกด์พูดภาษาอังกฤษค่ะ)
บรรยากาศระหว่างทางค่ะ เหมือนอยู่อีกดาวนึงเลย นี่มันดาวโลกรึป่าวนะ
ในช่วงที่เรามา ไม่มีถ้ำที่เป็นแบบในรูปด้านล่างนี้เลย เสียดายนิดนึงเหมือนกันค่ะ แต่อย่างว่า มันเป็นเรื่องของธรรมชาติสร้าง เป็นเรื่องที่มีสเน่ห์เหมือนกันนะคะ
ถ้ำที่เรามา มีบันไดให้ใต่ลงมาแล้วค่ะ ตอนนั้นรู้สึกว่าลึกอยู่ เพราะขาเริ่มสั่น หน้าตาดูเหนื่อยมากในรูป ฮาาาา
และเราก็ได้เข้ามาอยู่ในถ้ำน้ำแข็งตามธรรมชาติ ด้านใต้กลาเซียร์แล้วค่ะ
บรรยากาศรอบๆ
เราเสร็จจากทัวร์ประมาณ เกือบๆ บ่ายสาม ซึ่งอีก 1 ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะตกแล้ว พอฟ้ามืด ก็จะเข้าสู่ภารกิจล่าแสงเหนือกันอีกครั้ง
คืนนี้เราจองโรงแรมชื่อ Hotel Skogafoss อยู่ตรงน้ำตก Skogafoss ชื่อดังเลยค่ะ เป็นเกสท์เฮ้าส์เล็กๆ สะอาด ทุกอย่างครบครัน ไม่ได้หรูหรา แต่อยู่ได้สบายๆ เลยค่ะ
มาถึงก็เจอน้องแมว นอนเล่นกับหิมะทักทาย น้องไม่หนาวเลยยยย
เราใช้เวลาขับรถจาก Jokulsalon มาถึงโรงแรมตรง Skogafoss ใช้เวลาร่วม 3 ชั่วโมงค่ะ ระหว่างทางก็มองหาแสงเหนือมาตลอดทาง แต่มันเพิ่งมามืดสนิทจริงๆ ไม่นานค่ะ
เราแวะหาอะไรทานกันก่อน มาเจอร้านเล็กๆ ตามรายทาง น่ารักค่ะ อาหารใช้ได้เลย
จากนั้นก็ไปขับรถหาแสงเหนือกันต่อ
วันนี้ออกมาแบบอลังการมากค่ะ เห็นเป็นคืนที่สองแล้ว
วันนี้เห็นหลายแบบเลย ไม่เหมือนเมื่อวาน วันนี้อลังการกว่า (เราใช้กล้อง compact Canon G16 ธรรมดามากๆโหมดถ่ายดาว ภาพเลยไม่อลังการเหมือนคนอื่นเค้าค่ะ แล้วไม่ได้เอาขาตั้งไป อันนี้ตั้งบนหลังคารถเอาค่ะ)
เมื่อวาน มันเห็นแค่วาบๆ แต่วันนี้ มันเห็นเป็นเหมือนม่านอยู่ข้างบนฟ้าอ่ะค่ะ เหมือนดูการแสดงอะไรซักอย่าง แล้วม่านบนฟ้า ที่เป็นริ้วๆ มันก็ค่อยๆ ขยับ เหมือนผ้าเป็นริ้ว ส่ายเป็นคลื่นๆ อยู่บนฟ้าเลย
เคยดูดาวในที่แจ้งกันมั้ยคะ เราจะรู้สึกว่า เราเป็นส่วนหนึ่งกับท้องฟ้า เห็นภาพตรงนั้นชัดมาก ตอนนั้นเป็นความรู้สึกแบบนั้นเลย ยืนอยู่นานมาก ลืมความหนาวไปเลยค่ะ พอข้างบนส่ายๆ สีเขียวๆ ข้างล่างก็มี สีชมพู ม่วง แซมๆ มันเต็มฟ้าไปหมดเลย เสมือนเรากับยื่นมือไปสัมผัสได้เลยค่ะ รู้สึกว่ามันใกล้มากๆ
คืนนี้ ยืนดูจนหนำใจเลยค่ะ ไม่สนถ่ายรูปอะไรแล้ว ตอนขับรถกลับโรงแรมก็ยังได้เห็นอยู่ ประทับใจมากๆ ค่ะ ไม่เสียแรงที่ยอมมาในฤดูหนาว ยอมมีแสงอาทิตย์เที่ยวช่วงกลางวันสั้นๆ เลย
รู้มั้ยคะ สิ่งที่ได้เห็นภายในระยะเวลา ประมาณ 12 ชั่วโมงที่ผ่านมาของวันนี้ ตั้งแต่ไป Diamond Beach, Ice Cave มาถึงตอนนี้เนี่ย เรารู้สึกบอกไม่ถูกเลย รู้สึกว่า ทำไมธรรมชาติมันน่ามหัศจรรย์ได้ขนาดนี้ มัน stunning, speechless มัน spectacular และมันคือความยิ่งใหญ่ของ Mother Earth – Mother Nature จริงๆ ถึงตอนนี้ ความรู้สึกนั้นยังไม่หายไปเลยค่ะ 🙂
Day 4 Vik , Skogafoss , Blue lagoon, Reyjavik
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแบบเต็มๆ วัน ในไอซ์แลนด์แล้ว เพราะไฟลท์ที่เราจะออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น เป็นไฟลท์ 10 โมง ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งก็จะไม่ได้มีเวลาเที่ยวแล้วค่ะ
เราพักใกล้น้ำตกมากๆ แบบเดินไปได้ แต่ก็ขับรถมาจอดที่จอดรถของน้ำตกได้ค่ะ จอดปุ๊ป เห็นน้ำตกเลย (จริงๆ เห็นมาตั้งแต่ขับอยู่บนถนนสายหลักแล้วค่ะ)
จากนั้น เราขับย้อนกลับไปทาง Vik เพื่อที่จะไปเที่ยวหาด Vik Black Sand Beach ที่มีหินบะซอลท์ เป็นแท่งๆ บนหาดสีดำ อลังการ จริงๆ ตรงนี้เป็นจุดถ่ายรูปยอดฮิตเลยนะคะ
ระหว่างทางขับไปก็จะเจอฟาร์มม้าอีกแล้ว แต่อยากให้สังเกตแบ๊กกราวข้างหลังค่ะ เห็นอะไรมั้ยคะ
นั่นคือพายุค่ะ พายุกำลังมาาาาา
จริงๆ วันนี้ แพลนเราค่อนข้างหลวมนะคะ จัดตารางไว้ชิวมาก แต่พายุลูกนี้ เข้าชนิดที่ว่า ตอนแรกก็ฝืนขับรถไปนิดนึง จนรู้สึกว่ามันอันตรายเกินไปแล้ว เลยฝืนขับมาจอดที่ Vik Black Sand Beach เนี่ยแหล่ะค่ะ ตอนนั้นคือรู้สึกว่า รถจะปลิวไปกับลมได้ตลอดเวลา เป็นพายุหิมะที่เรามองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากสีขาว คือรอบรถเป็นสีขาวไปหมดเลยค่ะ Visibility หรือ ระยะการมองเห็นไม่เกิน 5 เมตร ซึ่ง 5 เมตรที่ว่า คือเห็นแค่เส้นถนนกับไหล่ทางค่ะ มองซ้ายขวาเป็นสีขาวสนิท (นึกถึงหนังเรื่อง The Mist เลย) เราคลำทางไปจนถึง จุดพักรถที่ Black Sand Beach ค่ะ มีคาเฟ่อยู่ก่อนถึงหาด
พอไปถึงคาเฟ่ ก็เห็นว่ามีคนเดินลงไปเที่ยวหาด เลยเอาบ้าง สรุป ไม่รอดค่ะ รู้สึกว่าตัวเองจะปลิว ต้องเดินหันหลังเข้าไปดูค่ะ ไม่แนะนำอย่างแรงนะคะ เราเคยคิดว่า เราเคยใช้ชีวิตอยู่เมืองหนาว ฝ่าหิมะไปเรียนก็มี แต่มันไม่เหมือนกันค่ะ ชายหาดไอซ์แลนด์ โหดมากๆ ลงไปแล้วรู้สึกว่าอันตรายมากๆ ทั้งเปียก ทั้งคลื่น ทั้งหิมะ ทั้งลม ขอให้เป็นอุทาหรณ์นะคะ ห้ามทำตามเด็ดขาด
สรุปก็ต้องกลับมายอมความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติค่ะ นั่งรอจนหิมะหยุด พายุหยุดแล้วก็ยังไปไม่ได้นะคะ ต้องรอเค้ามาเคลียร์ถนนนิดนึง ซึ่งเค้าจะโรยทรายเอาค่ะ เราต้องเช็คตามเว็ปค่ะ ซึ่งเว็ป Road.is จะมีไลฟ์อัพเดทเกี่ยวกับเส้นทางตลอดค่ะ มันจะต้องเลือกเป็นโซนนะคะ เช่นลิงค์นี้คือ โซนที่เราขับอยู่ มันจะขึ้นเป็นสีแดงเลย ถ้าถนนปิด http://www.road.is/travel-info/road-conditions-and-weather/south-iceland-road-conditions-map/
ภาพนี้เราแคปมาตอนนั่งเขียนโพสท์นี้ในช่วงฤดูร้อนค่ะ สีเขียวคือทางสะดวกค่ะ
แต่ถ้ามาฤดูหนาวนี่สีรุ้งเลยค่ะ ซึ่งแต่ละสีจะมีความหมายต่างกัน ดูรูปข้างล่างนะคะ มีทั้งถนนลื่น ถนนขับยาก ถนนปิด วันนั้นของเราขึ้นเป็นสีแดงค่ะ
เรารอจนมันขึ้นเป็นสีดำหรือสีชมพูเนี่ยแหล่ะ แล้วขับกลับมา Reykjavik เพื่อจะไปแช่น้ำที่ Blue Lagoon กันก่อนค่ะ จริงๆ คำนวนว่าจะถึงก่อนบ่ายสามนิดหน่อย บรรยากาศจะเป็นพระอาทิตย์ตกสวยๆ แบบในรูปด้านล่างนี้
แต่ไม่ค่ะ ไปถึงประมาณ 5-6 โมง ซึ่งมันมืดสนิทเลยค่ะ บรรยากาศตามรูปด้านล่างเลยค่ะ เสียใจ ต้องกลับไปใหม่แล้วแหล่ะเนอะ ฮืออออออ
พูดถึง Blue Lagoon กันหน่อยค่ะ แม้เราจะไปถึงตอนมืดแล้ว แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความสวยงามของมันนะคะ เค้าออกแบบมาเป็นสัดส่วนมากๆ มีสายข้อมือ ล๊อกเกอร์ พวกผ้าเช็ดตัวจะได้ตอนเช็คอิน สามารถจองออนไลน์ไปก่อนได้ ทุกอย่างเป็นระบบระเบียบมากค่ะ
ห้องน้ำจะแยกชายหญิงค่ะ ซึ่งจากในห้องน้ำ จะมีทางลงบ่อ โดยเราไม่ต้องวิ่งออกไปท้าหนาวข้างนอกนะคะ แล้วก็จะลงมาเป็นบ่อรวมค่ะ บ่อค่อนข้างใหญ่เลย
พอแช่เสร็จ เรานัดเพื่อนชาวไอซ์แลนดิกไว้ค่ะ คุยกับเพื่อน นางยังไม่เคยไปบลูลากูนเลย เหอะๆๆๆ ความเป็นนักท่องเที่ยวของเราอ่ะเนอะ
คืนนี้เป็นคืนวันที่ 23 ธันวาค่ะ ก่อนคริสมาสอีฟ ทุกคนก็จะต้องรีบมาซื้อของขวัญหากใครที่ยังซื้อของขวัญคริสมาสไม่เสร็จ แล้วพรุ่งนี้ ร้านก็จะปิด ทุกคนจะอยู่กับครอบครัวแล้วค่ะ คืนนี้เลยคึกคักมากๆ ถนนช้อปปิ้งหลักของเมืองอย่าง Laugavegur เต็มไปด้วยร้านเก๋ๆ และร้านอาหาร มีคอนเสิร์ต งานเฉลิมฉลองเต็มไปหมด จริงๆ ตอนแรกก็ตั้งใจจะเที่ยว Reykjavik ตามจุดเช็คอินที่นักท่องเที่ยวไปกัน แต่พอเจอเพื่อนสมัยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้เจอกันมาสิบปี ก็ทิ้งแพลนทุกอย่างค่ะ นั่งเม้าท์กับนางยาวๆ
น้ำส้ม Appelsin ของโลคอลสุดๆ มีแค่ไอซ์แลนด์เท่านั้น และเพื่อนคนไอซ์แลนด์ก็ดูพราวนะคะ เป็นน้ำส้มโซดา ออกแนวจืดๆ คล้ายๆ เวลากินผงเกลือแร่ แต่กินไปกินมาอร่อยเฉย แนะนำให้ลองค่ะมาถึงนี่แล้ว
คืนนี้เรานอนแถวสนามบินค่ะ
Day 5 Departure
วันสุดท้ายไม่มีอะไรค่ะ ขับรถไปคืนที่ร้านเช่ารถ แล้วเค้าก็มาส่งเราที่สนามบิน เดินทางกลับกรุงลอนดอน โดยสวัสดิภาพค่ะ
เป็นทริปเล็กๆ ที่ประทับใจมาก และจะกลับมาใหม่ แน่นอนค่ะ!
สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!
ที่พัก ทัวร์ เช่ารถ ในไอซ์แลนด์ เข้าไปดูได้ที่ GuideToIceland.is คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!
สำหรับทริปไอซ์แลนด์เราเขียนทั้งหมด 2 ตอน และ ตอนแยกเป็นเรื่องการแต่งตัวเที่ยวหน้าหนาวนะคะ
ขับรถเที่ยว Iceland ด้วยตัวเอง ในฤดูหนาว ทริปสั้นๆ แต่ครบรส (ตอนที่ 1)
แต่งตัวให้พร้อม ไปล่าแสงเหนือที่ไอซ์แลนด์ (และเมืองหนาวอื่นๆ)
หากชอบรีวิว ช่วยกดไลค์เพจเป็นกำลังใจให้หน่อยนะคะ หรือไปตามไอจี @eatchillwander อัพเดทกันแบบเรียลไทม์ขอบคุณมากๆ ค่า