[เที่ยวรัสเซียด้วยตัวเอง EP.3] นอนบนรถไฟหรูแบบทรานส์ไซบีเรีย ไปสัมผัสธรรมชาติแห่งภูมิภาค Karelia

ช่วงนี้เป็นอีกหนึ่งช่วงของทริปที่เราตื่นเต้นมากๆ ค่ะ เพราะเป็นการเป็นลองขึ้นรถไฟแบบนอน ซึ่งเป็นรถไฟหรูแบบเดียวกับที่ใช้เดินทางบนรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย (Trans-Siberian Railway) ซึ่งเป็นรถไฟขบวนในฝันของเราเลยค่ะ ที่มาของการขึ้นรถไฟขบวนนี้ ก็เนื่องจากว่า รถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย จริงๆ ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์เลย เลยอยากมาลองรูทสั้นๆ ก่อนค่ะ ว่าส่วนตัวจะไหวมั้ย วันนี้ เราเลยเลือก ทัวร์รถไฟจาก มอสโคว์ ไปยัง เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพื่อท่องเที่ยวในภูมิภาคที่เรียกว่า Karelia เป็นอีกหนึ่งภูมิภาคที่คนรัสเซียพูดถึงบ่อยๆ เต็มไปด้วยธรรมชาติ และเป็นที่อยู่ของทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปค่ะ

สองตอนก่อนหน้านี้ นัทพาเที่ยวมอสโคว์เต็มๆ รวมถึงข้อมูลอัพเดทปี 2023 สำหรับการเที่ยวรัสเซียด้วยค่ะ ย้อนกลับไปอ่าน >> คลิ๊กที่นี่


รู้จักรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย (Trans-Siberian Railway)

– รถไฟสายทรานส์ไซบีเรียน เป็นเส้นทางรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก โดยเริ่มจากเมือง Vladivostok เมืองใหญ่ทางตะวันออกของรัสเซีย (เมืองนี้ จริงๆ อยู่ห่างซัปโปโรประมาณเจ็ดร้อยกม. เองค่ะ) ไปจนถึงกรุงมอสโคว์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่ค่อนมาทางตะวันตกของประเทศ

– ความยาวทั้งหมดคือ 9,289 กม. เชื่อมรัสเซียฝั่งเอเชียตะวันออกไกลไปรัสเซียฝั่งยุโรป อย่าลืมว่ารัสเซียคือประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกนะคะ ซึ่งคำว่า Trans Siberia นี่แปลตรงตัวได้เลย คือการข้ามไซบีเรีย ซึ่งเป็นภูมิภาคที่อยู่กลางประเทศเนี่ยแหล่ะค่ะ

– ทีนี้ หลายคนมักจะสลับหรือเหมารวมกับ Trans-Mongolia Railway ซึ่งเป็นแขนงรถไฟที่วิ่งจากปักกิ่ง เข้าอูลันบาตอร์ เมืองหลวงของมองโกเลีย แล้วเข้ามาเจอ ทรานส์ไซบีเรียจริงๆ ที่เมือง Irkutsk

– ซึ่งก็ไม่มีผิดไม่มีถูกนะคะ แค่จะอธิบายว่า ตามประวัติศาสตร์แล้ว ทรานส์ไซบีเรีย วิ่งจาก Vladivostok – Moscow และทั้งเส้นทางอยู่ในประเทศรัสเซีย // แต่ในปัจจุบัน เส้นทางที่หลายคนฮิตจะเป็น ปักกิ่ง – มอสโคว์ ซึ่งต้องเปลี่ยนรถไฟค่ะ และตามหลักการจะต้องเรียกว่า รถไฟสายทรานส์มองโกเลียน (Trans-Mongolian Railway)

– รถไฟที่แล่นบนเส้นทางนี้ก็มีทั้งรถไฟแบบโดยสาร และ รถไฟแบบทัวร์แบบที่เราไป ถ้าไปแบบรถไฟโดยสาร นั่งรวดเดียว ไม่ลงเที่ยว แบบนั้นจะใช้เวลาประมาณ 7 วันค่ะ (รถไฟจะจอดตามสถานี บางทีก็ 5 นาที บางสถานีก็ครึ่งชั่วโมง ลงไปยืดเส้นยืดสายได้ แต่ไม่ถึงขั้นหยุดแวะเที่ยว) แต่คนส่วนใหญ่ก็จะซื้อตั๋วเป็นขาๆ แล้วแต่ว่าจะแวะเที่ยวที่ไหน แต่ความลำบากคือ ต้องลากกระเป๋า ลงไปเช็คอินนอนโรงแรม เที่ยวเมืองนั้นให้เสร็จ แล้วรอรถไฟรอบถัดไป ขนกระเป๋าขึ้นไปใหม่

– แต่ถ้าไปแบบ Train Cruise หรือ รถไฟแบบทัวร์ที่นัทไป จะเป็นห้องส่วนตัวบนรถไฟ ลงไปเที่ยวระหว่างวัน รถไฟจอดรอตามโปรแกรมทัวร์ ไม่ต้องขนกระเป๋าขึ้นลง เที่ยวเสร็จกลับมานอนในห้องเดิม ไปต่อ จะใช้เวลาอย่างน้อยสุดก็ 7 วันไม่เต็มเส้นทาง แต่เต็มเส้นทางก็ต้องมีประมาณ 14 วันค่ะ —- จริงๆ โมเดลเหมือนล่องเรือสำราญที่จอดเที่ยวเป็นเมืองๆ เลยค่ะ ที่พักเคลื่อนที่ไปพร้อมเรา

– รถไฟ Luxury ที่ทำเป็นทัวร์แบบนี้ ในรัสเซียมีหลายเส้นทาง แต่เส้นทางที่น่าสนใจก็คือทรานส์ไซบีเรีย จากมอสโคว์ ไปทะเลสาบไบคาล ซึ่งบริษัททัวร์ที่นัทไป ก็จะมีจัดเส้นทางนี้ช่วง กุมภา 67 แนะนำมากๆ ค่ะ / หรือจะนั่งไปดูแสงเหนือที่ Murmansk ก็มีเช่นกันนะคะ


Eat Chill Wander’s Notes :

– อย่างที่บอกไปแล้วว่านัทอยากมาลองเส้นทางสั้นๆ ก่อน เลยลองทริป Moscow – Saint Petersburg เพราะว่าจะไปอยู่แล้ว

– ถามว่า Saint Petersburg อยู่ในเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียมั้ย ต้องบอกว่า ตามประวัติศาสตร์ไม่อยู่ แต่ทุกวันนี้ เป็นส่วนต่อขยาย และเป็นรูทปกติที่นักท่องเที่ยวจะนั่งไปจนถึงค่ะ

– จริงๆ แล้ววิธีการเดินทางจาก มอสโคว์ ไป เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ง่ายสุดคือรถไฟความเร็วสูง Sapsan ใช้เวลา 4 ชั่วโมง นานกว่านั่งเครื่อง แต่ถ้ารวมเวลาที่ต้องเดินทางไปสนามบินและรอเช็คอินแล้ว รถไฟง่ายกว่าค่ะ

– ส่วนแบบที่นัทนั่งมา เป็นโปรแกรมท่องเที่ยวที่ได้แวะเที่ยวตามทางอีก 2 วันเต็มๆ ก็ถือว่าผ่อนคลายมากๆ ค่ะ

– ราคาของรูท Karelian Express นี้ จะอยู่ที่ประมาณสามหมื่นบาทต่อคน แต่จริงๆ ทั้งทริปนี้ นัทให้คุณ Pavel ซึ่งเป็นทัวร์คนรัสเซียที่ฟังพูดอ่านเขียนภาษาไทยได้คล่อง จองให้ทั้งหมดเลย ทั้งทริป 10 วัน มีไปดูแสงเหนือด้วย พักห้าดาวหมด ก็ตกประมาณแสนนิดๆ ค่ะ เค้าไม่ได้เสนอราคาแยกมาให้ // หากพักห้องส่วนตัว แต่ห้องน้ำรวม และเตียงเล็กกว่า คล้ายๆ รถไฟฮอกวอร์ท แบบนั้นจะถูกลงไปราวๆ 60% เลยค่ะ

– สำหรับการจองทุกอย่าง หรือ จัดทัวร์ติดต่อ คุณ Pavel ได้ที่ไลน์ choustrov พิมพ์ไทยหรืออังกฤษก็ได้ค่ะ หรือ เมสเสจไปที่ Facebook Pavel Tours ก็ได้ค่ะ บอกเค้าได้เลยว่า จะให้จัดตรงไหนกี่วัน รวมอะไรบ้าง หรือให้เค้าแนะนำก็ได้ค่ะ


Imperial Russia Train

รถไฟหรูที่วิ่งในรัสเซีย มีหลายชื่อ หลายแบบนะคะ อันที่นัทนั่ง ถ้าเอาไปวิ่งสายทรานส์ไซบีเรีย เค้าจะใช้ชื่อว่า Imperial Russia แต่ที่ดังๆ ก็จะมี Golden Eagle, Tsar’s Gold ทุกอันคือมาตรฐานห้องส่วนตัวแบบ VIP/Luxury จะเลย์เอาท์ประมาณนี้เลย สะดวกสบาย มีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ อ่างล้างหน้า ตู้เสื้อผ้า อยู่ในตัว และในขบวนเดียวกันก็จะมีโต๊ะอาหารรวมถึงไมโครเวฟ กาน้ำร้อน ซึ่งโดยทั่วไปคือสบายมากๆ ค่ะ

ตัวเตียง มี 2 ชั้นค่ะ ดีไซน์ให้นอนคนละชั้น กางออกมาอยู่ที่ขนาด 190*125 ซม. ซึ่งประมาณเตียงเดี่ยวเลยค่ะ

ที่ประทับใจมากคือ มีแอร์และฮีตเตอร์ น้ำในห้องอาบน้ำและในซิงค์ไหลแรงและอุ่นคงที่มาก ประทับใจค่ะ มี Wifi ที่มีสัญญาณตามสัญญาณในโทรศัพท์ ทีวีดูเน็ตฟลิกซ์ ยูทิวบ์ได้ ปรับความสว่างของไฟในห้องได้หลายระดับ มีปลั๊กหลายจุด มีตู้เซฟ มีกริ่งเรียกพนักงานได้ 24 ชม. (แต่พนักงานพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ต้องใช้กูเกิ้ลทรานสเลทเอาค่ะ) และพนักงานมาทำความสะอาดให้ทุกวัน

มีผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดผม ชุดคลุมอาบน้ำ อุปกรณ์ต่างๆ เช่น สบู่ แชมพู หวี ชุดโกนหนวด โลชั่น แปรงฟัน ยาสีฟัน ดรายเป่าผม เตรียมไว้ให้ครบค่ะ

ทุกเช้าจะมีอาหารเช้ามาเสิร์ฟ แต่อาหารเช้าค่อนข้างธรรมดาไปนิดนึง มาแบบพอเพียงมาก ไฮไลท์คือมีไวน์ให้ตอนอาหารเช้า ส่วนตอนเย็นเค้าจะมีถุงเสบียงไว้ให้ ซึ่งขนมอร่อยหลายอย่างเลยค่ะ ขนมเยอะมาก ส่วนมื้ออื่นๆ เราทานตอนลงไปเที่ยวค่ะ

ถ้าพูดกันเรื่องราคา ส่วนตัวคิดว่า อยู่ที่เทียบกับอะไรค่ะ ถ้าเทียบในหมู่รถไฟด้วยกันเลยนะคะ รถไฟหรูพวก Orient Express ราคาเริ่มต้นคือคืนละแสนอัพ ส่วนอันนี้ตกประมาณคืนละหมื่นนิดๆ ซึ่งจริงๆ ถ้าไม่นอน VIP/Luxury Cabin ที่เป็นห้องแบบนัท ก็มีเคบินส่วนตัว ห้องน้ำรวม ที่เป็นรถไฟฟีลฮอกวอร์ท ถ้าแบบนั้นราคาลดลงมามากกว่าครึ่งเลยค่ะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น บางคนอาจจะมองว่า จ่ายคืนละหมื่นแล้วต้องมานอนบนรถไฟอีก แบบนั้นคือไม่มีทางอินค่ะ ฟีลเดียวกับเรือสำราญที่มีทั้งคนที่เก็ทและไม่เก็ท แต่นี่แหล่ะ นัทเลยลากแฟนมาลองรูทสั้นๆ ก่อนไปยาวๆ ค่ะ — ส่วนจุดท่องเที่ยวที่ไปในทริปนี้ อาจจะไม่ได้ดังมากนัก แต่ก็ถือว่าได้อยู่กับธรรมชาติชิลล์ๆ ดีค่ะ


Karelian Express

เราเริ่มเดินทางจากสถานี Leningradsky Station ในมอสโคว์ แนะนำให้มาก่อนเวลาหน่อยนะคะ เพราะแถวนี้มีสถานีรถไฟหลายแห่ง พวกเรามาถึงครึ่งชั่วโมงก่อนรถไฟออกเลย รถไฟก็จอดรออยู่แล้ว และทางพนักงานที่ดูแลพวกเราโดยเฉพาะก็มาแนะนำตัว รวมถึงแนะนำข้าวของเครื่องใช้ในห้องจนครบเลยค่ะ

ส่วนวันรุ่งขึ้น รถไฟจะไปถึงเมือง Petrozavodsk เวลา 7.50 น. และในโปรแกรมจะมีรวมทัวร์เมืองอยู่แล้ว จึงได้นัดแนะเวลาอาหารเช้ากับพนักงานที่ดูแลเราเรียบร้อยค่ะ ทานอาหารเช้ากันในรถไฟก่อนเลย วันนี้โปรแกรมค่อนข้างเช้าค่ะ

ที่ที่เรามาเที่ยวนี้ เป็นภูมิภาค Karelia ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีชาวพื้นเมือง Karelia อยู่มาตั้งแต่ยุคกลาง จนเกิดการแบ่งเป็นฝั่งฟินแลนด์และรัสเซียค่ะ แต่วัฒนธรรมและรากภาษาโดยทั่วไป ถือว่ามีความเป็นฟินนิชและสวีดิชอยู่ ดังนั้น ตอนนี้เรามาอยู่ใกล้ชายแดนฟินแลนด์มากๆ และเมืองบางเมืองที่ไป จะมีบรรยากาศแบบนอร์ดิกมากค่ะ แม้แต่ร้านอาหารเอง หลายร้านก็เสิร์ฟอาหารนอร์ดิก ภูมิภาค Karelia ของรัสเซียนั้น โด่งดังว่ามีทะเลสาบอยู่กว่า 6,000 ทะเลสาบ และมีทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปอันดับหนึ่งและอันดับสองอยู่ ชื่อว่า Lake Ladoga และ Onega ตามลำดับ

เมืองแรกที่เรามาอย่าง Petrozavodsk นั้น ถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาค Karelia ฝั่งรัสเซียค่ะ แต่ที่นี่ เรานั่งเรือล่องไปตามทะเลสาบ Onega เพื่อที่จะไปชมเกาะ Kizhi ซึ่งเป็นเกาะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในทะเลสาบ Onega นี้

เราใช้เวลานั่งเรือประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที บนทะเลสาบค่ะ ด้วยความที่อากาศในภูมิภาคนี้ค่อนข้างหนาวเย็น เรือเลยเป็นแบบปิดแบบนี้เลย

เมื่อมาถึงเกาะแล้ว เราก็จะมีเวลาอยู่บนเกาะประมาณ 4 ชั่วโมงค่ะ Kizhi Island (เกาะคีชี่) และ Kizhi Museum เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์แบบโอเพ่นแอร์ที่ใหญ่ท่สุดในรัสเซีย ที่นี่มีเอกลักษณ์ทั้งทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และ ธรรมชาติ และได้รับการยกย่องจากยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกอีกด้วยค่ะ

บนเกาะจะประกอบไปด้วยสิ่งปลูกสร้าง อาคารไม้ โบถส์ไม้ กังหัน บ้าน กว่า 80 แห่ง กระจายอยู่ทั่วเกาะ ซึ่งทำให้เราได้เห็นถึงวิถีชีวิตดั้งเดิมในยุคศตวรรษที่ 14 (ตอนนั้นรัสเซียยังเป็น Novgorod อยู่เลยค่ะ ดังนั้น การได้เห็นถึงหลักฐานของวิถีชีวิตท้องถิ่นของ Karelia จึงเป็นหนึ่งในมรดกที่สำคัญของประเทศ) สิ่งที่น่าสนใจคือสิ่งปลูกสร้างเกือบทั้งหมดบนเกาะนี้ ไม่มีการใช้ตะปูเลย และ ก็มีการทำฟาร์ม กสิกรรม และมีหนึ่งในโบถส์ไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในรัสเซียที่สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 14 (ถือเป็นช่วงเดียวกับปลายยุคไบแซนไทน์เลยค่ะ)

แต่อนุสรณ์ที่สำคัญที่สุดจะเป็นโบถส์ Transfiguration Church ซึ่งเป็นโบถส์ไม้และมีโดมหัวหอมอยู่ถึง 22 ยอด สูง 37 เมตร สร้างในปี 1862 บนโดมทั้งหมดนั้นเป็นกระเบื้องไม้ และ สร้างโดยไม่ใช้ตะปูเช่นกันค่ะ โดยในปัจจุบัน จะจำกัดการเข้าชมภายในโบถส์นี้เพื่อความปลอดภัยค่ะ

จากนั้นเราก็จะได้มาเดินเล่นในเมือง Petrozavodsk เมืองที่อยู่บนทะเลสาบ Onega เลย เราจะได้เดินเล่นริมทะเลสาบ ชมปะติมากรรม สวนต่างๆ ที่เล่าถึงความเป็นมาของเมือง

และสุดท้าย ก็ไปทานอาหารก่อนจะขึ้นรถไฟไปต่อค่ะ จริงๆ จะขึ้นไปทานบนตู้อาหารบนรถไฟก็ได้นะคะ แต่รถไฟจอดถึง 22.20 น. จึงมีเวลา เดินเล่น ซื้อของฝาก ทานอาหารสบายๆ

เราทานที่ร้านอาหารสแกนดิเนเวียน ซึ่งอยู่ใกล้สถานีค่ะ รสชาติดีเลย ร้านนี้ทางคุณ Pavel เป็นคนหาและจองให้เช่นเคยค่ะ

มาถึงดินแดน Karelia แล้ว อย่าลืมทาน Kalitka ขนมอบที่มีเฉพาะแถบนี้ หอม กรอบ อร่อย และ Glögg หรือ Mulled Wine ซึ่งถ้าใครตามนัทเที่ยวสแกนดิเนเวียบ่อยๆ จะรู้เลยว่าเป็นเครื่องดื่มของโปรด

เมนูอื่นๆ พวกปลาคือดีมากเลย อยู่นี่สามารถทานแซลมอนได้ตลอดเลย แล้วก็มีเนื้อเรนเดียร์ด้วยค่ะ นอร์ดิกสุดๆ

เรากลับมาถึงรถไฟตั้งแต่สองสามทุ่ม เลยมีเวลาชิลล์ๆ อาบน้ำ นั่งเล่น อ่านหนังสือ ก็พักผ่อนได้ตามอัธยาศรัยเลยค่ะ ห้องเนี๊ยบกริ๊บ คุณลิเลียน ทำความสะอาดและเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวให้ใหม่หมดเลย

นอนบนรถไฟคืนที่สอง คืนนี้ รถไฟวิ่งไม่เยอะจอดนอนยาวๆ เรามาเช้ากันที่เมือง Sortavala เมืองเล็กๆ ที่เป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาค Karelia ซึ่งวันนี้ โปรแกรมคือไปเดินเที่ยวเมืองในช่วงเช้า แต่ฝนตก เราเลยขอชิลล์อยู่บนรถไฟ และตามไปจอยทัวร์ในช่วงที่ไปเหมืองหินอ่อนค่ะ

ประมาณ 10 โมง เราก็จะมาที่สถานีรถไฟอีกแห่งเพื่อที่จะมาขึ้น Retro Train รถไฟหัวจักรไอน้ำเพียงไม่กี่ขบวนที่ยังให้บริการในรัสเซียค่ะ แต่ก็มีจุดประสงค์หลักเพื่อการท่องเที่ยวเลย นักท่องเที่ยวท้องถิ่นเยอะมาก และเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวเอเชียด้วยค่ะ หากใครที่ได้แวะมาเที่ยวแถวนี้ แม้จะไม่ได้มากับรถไฟแบบนัท ก็สามารถมาจองรถไฟท่องเที่ยว Retro Train อันนี้ต่างหากได้นะคะ ชื่อว่า Ruskeala Express ค่ะ

รถไฟหัวจักรไอน้ำแบบ Retro Train นี้ จะตกแต่งแบบย้อนยุคเลยค่ะ มีโบกี้อาหาร มีคาเฟ่ แล้วก็ห้องโดยสาร ซึ่งนั่งมองวิวใบไม้เปลี่ยนสีไปได้ตลอดทางเลย

นั่งประมาณเกือบชั่วโมง เราก็จะไปถึง Ruskeala Mountain Park ซึ่งเป็นที่อยู่ของเหมืองหินอ่อนที่ในยุคของจักรพรรดินี Catherine II ได้มีการสั่งให้นำหินอ่อนที่นี่ไปใช้ ซึ่งเราก็จะได้เห็นหินอ่อนถูกใช้ทั้งในพระราชวังและโบถส์ St. Isaac’s ที่เซนท์ปีเตอร์เบิร์กค่ะ

ตัวเหมืองนั้น ก็จะอยู่ในป่าสนไทก้าแล้วค่ะ ป่าสนไทก้านั้นเป็นภูมิอากาศและภูมิประเทศที่เริ่มเข้าสู่ Sub Arctic แล้ว (และทริปนี้เรามีจุดหมายคือไปดูแสงเหนือที่อาร์คติค) เลยทำให้เราตื่นเต้นมากๆ เลยค่ะ

อาหารเที่ยง จะเป็นร้านที่จิ้มๆ เอา สไตล์คล้ายๆ ที่ Ikea แต่อร่อยเลยค่ะ ชอบมาก ราคาดีด้วย อยู่ในตัวอุทยานเลย

หินอ่อนที่นี่ ได้ถูกเริ่มค้นพบและนำไปใช้เมื่อช่วงปี 1765 ที่ผ่านมาในยุคจักรพรรดินีแคเทอรีนมหาราช และถูกเลิกขุดในช่วงศตวรรษที่ 20 ในทุกวันนี้ เรายังจะได้เห็นส่วนที่เป็นหินอ่อนตามธรรมชาติ ซึ่งมีริ้วสีเทา-ดำค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ทำให้สิ่งปลูกสร้างในเซนท์ปีเตอร์สเบิร์กนั้น จะมีการใช้ควบคู่ไปกับหินอ่อนจากที่อื่น กลายเป็นการตกแต่งที่โดดเด่นมากค่ะ

จากนั้นก็จะนั่งรถไฟกลับมาที่ Sortavala และ กลับมายั่งตู้รถไฟของเราค่ะ

นั่งอีก 2 ชั่วโมงนิดๆ นัทว่าช่วงนี้ผ่อนคลายสุดเลยค่ะ วิวสวย จะเป็นวิวป่าสน ใบไม้เปลี่ยนสี สลับกับทะเลสาบไปเรื่อยๆ แล้วอย่างที่บอกว่า ทะเลสาบมีกว่า 6,000 แห่ง ก็จะเห็นรูปร่างที่ต่างกันไปเรื่อยๆ เลย

เมืองสุดท้ายสำหรับทริปนี้ คือเมือง Vyborg ค่ะ มาถึงก่อนพระอาทิตย์ตกพอดิบพอดี

Vyborg นี่ฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวรัสเซียในฐานะที่เป็นเมืองยุโรปยุคกลางแห่งเดียวในรัสเซียค่ะ และมันมีความ Medieval มากๆ จริงๆ มีตั้งแต่ Vyborg Castle ปราสาทยุคกลางที่อยู่เป็นป้อมกลางน้ำ

สถาปัตยกรรมอื่นๆ ที่เราจะได้เที่ยวชมก็ได้แก่ Town Hall Square, Market Square มีโบถส์เล็กโบถส์น้อยระหว่างทาง และเค้าแนะนำให้ลองทาน Pretzel สูตรเฉพาะของเมืองนี้ ซึ่งจะใส่เฟนเนลทำให้มีความเฉพาะตัวเลยค่ะ

เมืองเป็นเมืองเล็กๆ สามารถเดินได้ทั่วเลยค่ะ

ร้านอาหารเย็นวันนี้ ก็ดีมากเลยค่ะ ทำอร่อยถูกปาก ทานง่าย

ขึ้นรถไฟกันอีกที คราวนี้ถึงช่วงเก็บของแล้วค่ะ แล้วเราก็นอนพักผ่อนกันนิดหน่อย จริงๆ โปรแกรมนี้ จะกลับไปเช้าวันรุ่งขึ้นที่มอสโคว์ กลายเป็นโปรแกรม 4 วัน 3 คืน ฮิตมากๆ ในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ของชาวมอสโคว์ แต่เราลงรถไฟกันที่ เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งรถไฟมาจอดอยู่ครึ่งชั่วโมง ตอนประมาณเกือบตีหนึ่งค่ะ — เป็นเวลาที่ค่อนข้างดึก ลากกระเป๋าเข้าโรงแรมแบบงัวเงียเลย

โบกมือลารถไฟสายนี้ และตอนถัดไปเราไปเที่ยวเมืองหลวงเก่าของรัสเซีย เมืองที่เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างอลังการอย่าง  Saint Petersburg กันนะคะ อ่านตอนต่อไป คลิ๊กที่นี่


สำหรับข้อมูลในการเที่ยวรัสเซียล่าสุด ทั้งเรื่องการใช้บัตรเครดิต การเดินทาง การจองโรงแรม ข้อควรรู้ก่อนไป อัพเดทปี 2023 สามารถไปอ่านได้ที่ >> [อัพเดท 2023] เที่ยว มอสโคว์ เมืองหลวงแห่งรัสเซีย เมืองสวยน่าค้นหา ไม่ต้องขอวีซ่า [เที่ยวรัสเซีย EP. 1]


สำหรับการจองทุกอย่าง หรือ จัดทัวร์ติดต่อ คุณ Pavel ได้ที่ไลน์ choustrov พิมพ์ไทยหรืออังกฤษก็ได้ค่ะ หรือ เมสเสจไปที่ Facebook Pavel Tours ก็ได้ค่ะ

สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Trip.com >> คลิ๊กที่นี่เพื่อหาตั๋วไปมอสโคว์

รีวิวรัสเซียทริปนี้ นัทเขียนไว้ทั้งหมด 6 ตอนนะคะ
ตอนที่ 1 : Moscow Part 1 เมืองหลวงแห่งรัสเซีย
ตอนที่ 2 : Moscow Part 2 ที่สุดของรัสเซีย
ตอนที่ 3 : Karelia นั่งรถไฟแบบทรานส์ไซบีเรีย
ตอนที่ 4 : St. Petersberg เมืองหลวงเก่าที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม
ตอนที่ 5 : Murmansk ล่าแสงเหนือ
ตอนที่ 6 : Teriberka เมืองสุดขอบโลกทะเลอาร์คติก

หากชอบรีวิว อย่าลืมกดไลค์เพจ และ ติดตามไอจี @eatchillwander ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า



ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com

error: