[เที่ยวจอร์แดน ด้วยตัวเอง Ep. 3] นครสีกุหลาบ ‘เพตรา’ – นอนแคมป์วิวดาวอังคาร

หลังจากที่เมื่อคืน เราได้มีโอกาสเข้ามาชม Petra at Night ในยามค่ำคืนกันแล้ว วันนี้เป็นวันที่เราคุยว่าจะให้คนขับรถมารับที่โรงแรมตอนบ่าย 4 โมงค่ะ ส่วนก่อนหน้าก็จะเป็นเวลาของเราเอง ซึ่งเราใช้เวลาทั้งหมดไปกับ ไฮไลท์ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศจอร์แดน หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่อย่าง “เพตรา (Petra)”
วันนี้ เป็นอีกวันที่เราตื่นเต้นเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับหลายๆ คนที่ เดินทางมาถึงประเทศจอร์แดน เพราะภาพของสถาปัตยกรรมที่แกะจากหินอย่างน่าอัศจรรย์ เราตื่นมาทานอาหารเช้าที่โรงแรม จากนั้นจึงเดินข้ามถนนมาก็จะถึงทางเข้าพร้อมที่จะเข้าชม เพตรา ในช่วงเวลากลางวันกันบ้าง
หากใครยังไม่ได้อ่านการเดินทางตอนที่แล้ว สามารถกลับไปอ่านได้ คลิ๊กที่นี่
ประวัติเพตรา
เพตราเป็นเมืองเก่าแก่ ที่เรายังไม่ทราบได้ว่าถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่มีหลักฐานในการมีอยู่ตั้งแต่ 100 ปีก่อนคริสตกาล ภายใต้การปกครองของจักรวรรดินาบาเตียน โดยเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางการค้า ทั้งกำยาน ไม้หอม และ เครื่องเทศ
เมืองเพตรารุ่งเรืองสุดๆ ในสมัยจักรวรรดิโรมัน จนกระทั่งเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 363 ซึ่งทำลายเมืองเกือบทั้งหมด เหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้เส้นทางการค้าถูกเปลี่ยนไป และเมืองเพตราก็ถูกทิ้งร้างและลืมเลือนไป
จนเมื่อปี ค.ศ. 1812 นักสำรวจชาวสวิส นามว่า Johannes Burckhardt ได้ตั้งใจค้นหาเพตราอีกครั้ง จนทำให้ชาวตะวันตกหันมาสนใจเมืองโบราณที่สวยงามนี้ และทำให้ที่นี่กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ก่อนจะถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ. 1985 ที่ผ่านมา
แล้วสรุป เพตรา คืออะไร?
เพตรา คือชื่อเมืองค่ะ ทั้งหุบเขาที่เราจะได้เข้าไปเดินกันนี้ ให้มองว่ามันเคยเป็นเมืองหนึ่งเมือง มีทั้งบ้าน ทั้งตลาด มีระบบส่งน้ำเลาะอยู่ในหินเลยนะ แต่ภาพที่เราเห็นกันบ่อยๆ นั้น เรียกว่า The Treasury ค่ะ เป็นสถาปัตยกรรมที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ซึ่งข้างนอกอลังการมาก เกิดจากการแกะสลักหิน เจาะภูเขาเข้าไป และสร้างส่วนตกแต่งขึ้นในส่วนนึง แต่ข้างในไม่มีอะไรค่ะ เป็นห้องเปล่าๆ เหลี่ยมๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น ยังไม่เป็นที่สรุปว่า ที่นี่เคยเป็นอะไรค่ะ นักโบราณคดีบ้างก็สันนิฐานว่าเป็นวิหาร บางคนก็บอกว่าไว้เก็บเอกสาร แต่ในการขุดไม่นานมานี้ ได้พบหลุมศพอยู่ด้านล่างด้วยค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ความน่าตื่นตาของ facade อันนี้คือมันเป็นส่วนผสมของศิลปะเฮเลนนิสติก (เสาคอรินเทียน) ผสมกับโรมัน และมีอิทธิพลของสไตล์ทางตะวันออก (ซึ่งเค้าเรียกว่า สไตล์นาบาเตียนเลย) อยู่ค่ะ
เส้นทางเดินเทรลในเพตรา
การเที่ยวเพตรานั้น มีหลากหลายแนวทางมาก ทั้งนั่งรถม้า เดินเยอะ เดินน้อย ฝรั่งบางคนมาเทรคเป็นวันๆ นั่นเป็นเหตุผลที่เพตรามีตั๋วแบบ 2-day ticket ขายด้วย เผื่อใครอยากมาเดินหลายๆ รูท
ส่วนใครที่ไม่อยากเดินเลยยยยย ก็สามารถนั่งรถม้าเข้ามาได้ค่ะ แต่แนะนำให้อ่านที่เราอธิบายก่อน เพราะบางทีจะโดนคนจูงม้าหลอกค่ะ
ดูแผนที่ด้านล่างนี้นะคะ ดาวดวงแรก ที่ขวามือสุด คือทางเข้าที่ซื้อตั๋ว ดาวสีแดงตรงกลางที่เขียนว่า Treasury อันนี้คือจุดที่เป็นภาพโปสการ์ดที่ทุกคนนึกถึงค่ะ จากดาวแรกมาถึงดาวตรงกลาง ระยะทางประมาณ 2 กิโล โดยที่ 800 เมตรแรก เรายังจะไม่ได้เข้า Al Siq หรือ ซอกหิน หลังจากนั้นจะเป็นซอกหินเข้าไปจนถึง Treasury
จากดาวที่ Treasury ไปจนถึงดาวใหญ่ด้านซ้ายที่เขียนว่า Monastery (Monastery คือในรูปที่นัทใช้เป็นรูปเปิดรีวิวนี้ค่ะ) ตรงนี้ยาวประมาณ 3.5 โล เป็นทางราบประมาณ 2 กิโล แล้วไปขึ้นเขา 800 กว่าขั้นค่ะ เราฮึดเดินขึ้นเขาได้ถึงกลางทาง ก็ไม่ไหว ต้องยอมจ่ายค่าน้องลา พาขึ้นไป
ออปชั่นไม่เดินเลย จะมีค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ดังนี้ค่ะ
ส่วนที่ 1) ค่ารถม้าจากทางเข้า ถึง Treasury ( ราคา 20 JOD ไปกลับ ): จริงๆ ในตั๋วเข้าเพตรา เค้าจะบอกว่ามีบริการม้าฟรี จากจุดขายตั๋ว มาจนถึงทางเข้า Al Siq (ประมาณ 800 เมตรแรก) ซึ่งเด็กจูงม้าจะมาสะกิดๆ เรา แล้วบอกว่าฟรี แต่พอไปถึงเค้าก็จะขอเงินค่าทิป แนวขูดรีดหน่อยๆ และมาถึงแค่ทางเข้าซอกหิน เดินอีกกิโลกว่าๆ ค่ะ ใช้บริการได้ แต่ต้องทราบไว้ก่อนนะคะว่าไม่ฟรีอย่างที่เค้าพูด
ส่วนถ้าใครใช้รถม้าจากทางเข้าถึง Treasury ก็คือ 20 JOD ติดต่อตรงทางเข้าได้เลยค่ะ
ข้อดี ของการใช้รถม้าคือไม่ต้องเดิน ข้อเสีย (จากที่ศึกษาข้อมูลมา) คือ ถนนมันไม่เรียบ เวลานั่งมันจะกระแทก ไม่ได้สบายอย่างที่คิด แต่ที่สำคัญสุดๆ คือ เราจะพลาดโอกาสเดินเล่น ถ่ายรูป ชมความงามของธรรมชาติ ไปตาม Siq นี้ ดังนั้น เว็ปและรีวิวเว็ปต่างชาติทั้งหมดที่เราอ่านมา จะบอกว่า ถ้าเดินไหว ให้เดินดีกว่าค่ะ
ส่วนที่ 2) ค่าลาหรืออูฐ จาก Treasury เข้าไปถึง Monastery ซึ่งส่วนตัว เราแนะนำให้เดินเล่นนะคะ เพราะจากตรงนี้ไป มีอะไรให้ดูตลอดทาง มีร้านค้า คนเดินกันเยอะแยะเลย แถมมีเวลาทั้งวัน ไม่ต้องรีบ ทั้งนี้ทั้งนั้น พอพ้นแถวๆ Grand Temple ไป จะเป็นบันไดและทางขึ้นเขา 800 กว่าขั้น จะพิจารณาใช้ลาก็ได้นะคะ เราจำราคาไม่ได้ แต่คิดว่าโดนฟันไปพอสมควร เพราะตอนนั้นเดินไม่ไหวแล้ว
ส่วนออปชั่นในการเดิน เราเดินตามรูทสีแดงที่มาร์คไว้ให้ในแผนที่นี้ค่ะ ดาวสีฟ้าคือ จุดชมวิวเพตราจากมุมสูง ซึ่งรายละเอียดให้เลื่อนลงไปดูรูปแผนที่อันถัดไปนะคะ
อันนี้เป็นแผนที่ที่เค้าแจกตอนซื้อตั๋วค่ะ จะมีระบุไว้ว่า แต่ละรูทใช้เวลาเท่าไหร่ ความยากความง่าย ระยะทางไปกลับ
อย่างจากจุด Entry Gate (ดาวดวงขวาสุด) ตามรอยสีน้ำตาลหนาๆ ทั้งหมดไป นั่นคือ ไปกลับ 8 กิโล ใช้เวลา 3.5 – 4 ชั่วโมงค่ะ (ดาวดวงที่สองจากขวา คือทางเข้า Siq ที่บอก, ดวงที่สามคือ Treasury, ดวงที่สี่เล็กๆ คือ แถว Grand Temple ค่ะ)
จากเส้นสีน้ำตาลหนาๆ จะเห็นว่ามีเส้นสีม่วงๆ ขึ้นไปที่ดาวดวงใหญ่ทางซ้ายสุด อันนั้นเป็นเทรลถัดมาค่ะ ระยะทางไปกลับ 3 กิโล แต่ขึ้นเขา แปดร้อยขั้น เค้าแนะนำว่าใช้เวลา 3.5-4 ชม. และเป็นเลเวลยากค่ะ
ส่วนใครอยากไปชม จุดชมวิวมุมสูงของเพตรา โดยไม่ใช้ไกด์ปีนลัดขึ้นจากด้านหน้า Treasury ไปเลย สามารถมาตามเทรลได้ 2 เทรลค่ะ ไปรูปถัดไปนะคะ
เทรลแรกที่ขึ้นไปชมได้ คือเส้นสีเขียว ข้อดีคือ เราจะได้ชมหลุมฝังศพ ที่เจาะผาไว้อย่างอลังการ ไต่ขึ้นไป จนถึงที่ดาวไว้ค่ะ
แค่เส้นสีเขียว ในแผนที่บอกไว้ว่า ไปกลับ 3.5 กิโล และใช้เวลาประมาณ 2.5 – 3 ชั่วโมงค่ะ
ส่วนอีกเส้นที่ไปได้ เห็นเพตรามุมสูงเหมือนกัน และบล็อกเกอร์ชอบไป คือเส้นสีส้มๆ แต่เลี้ยวมาทางที่นัทดาวสีแดงไว้ให้ค่ะ
เวลาที่เค้าแนะนำ ถ้าเดินอย่างเดียว อาจจะใช้ไม่ถึงนะ แต่ถ้าค่อยๆ ชมวิว ถ่ายรูป เข้าไปดูโน่นดูนี่ ก็น่าจะพอๆ กับที่เค้าประเมิณไว้ค่ะ
ระยะทางทั้งหมดที่บอกไป ลองใช้กูเกิ้ลแมพวัดมาให้แล้วนะคะ ลองไปกดๆ ดูได้นะ
ภายในเพตรา มีร้านอาหารจริงจังประมาณ 2 ร้าน มีอันแพงกับอันถูก นอกนี้ก็จะมีคาเฟ่ ซุ้มขายของทานเล่น ของฝาก อะไรไปเรื่อยค่ะ รีวิวฝรั่งมักบอกให้ห่อแซนวิชไปทาน ส่วนเราจำได้ว่า ไปนั่งกินร้านที่อยู่หน้า Monastery ค่ะ แต่ตอนนั้นเหนื่อยมากเลยไม่ได้โฟกัสรายละเอียดมาเลย
Arriving Petra
เกริ่นมาซะยาว มาชมการเดินทางของนัทในเพตรากันบ้างนะคะ
นัทเลือกที่จะเดินทั้งหมดเลยค่ะ ช่วงนั้นฟิต จากทางเข้า เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเริ่มมีอะไรให้ดูแล้วนะ อย่างตรงนี้เป็น Obelisk Tomb จะเห็นยอดเสาโอเบลิสก์ทั้งสี่อยู่ด้านบน ซึ่งเสาโอเบลิสก์นี้เป็นอิทธิพลของอียิปท์โบราณค่ะ
แอบเห็นนักแสดงที่เค้าแต่งตัวเป็นทหารโบราณกำลังเดินเข้าถ้ำด้วย ได้ฟีลมาก
จนถึง Siq ตรงนี้คือความสวยงามค่ะ หินไล่สีเลย ธรรมชาติสร้างจริงๆ
เดินผ่านซอกหินมาเรื่อยๆ ตอนแรกก็ตื่นเต้นดี ไปซักพักเริ่มรู้สึกว่าเมื่อไหร่จะถึงซักที 5555 และแล้ว ภาพทีรอคอยก็ค่อยๆ ปรากฎค่ะ
และแล้วก็ได้มาถึงค่ะ ภาพนี้ที่ทุกคนเห็นบ่อยเพราะว่าอยู่ในหนัง Indiana Jones ด้วยค่ะ
เลี้ยวขวามานิดนึง ก็จะเจอโรงละครแบบโรมันอยู่ตรงกลางของรูปค่ะ ส่วนในรูปนี่ คุณพ่อคุณแม่เราเดินนำไปเลย
Roman Theatre นี่เป็นอีกเอกลักษณ์ของจักรวรรดิโรมัน และเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของโรมันเลยค่ะ
เดินมาเรื่อยๆ ก็จะมาเจอทางเดินหลักๆ วันที่เราไปหนาวมากๆ ได้ซื้อผ้าพันคอเพิ่มเลย ส่วนอันนี้ปิดเข้าไปดูพวกบ้านถ้ำค่ะ ทั้งหมดเคยมีร่องรอยคนอยู่ มีโรงละครแบบโรมันด้วยนะคะ สมัยนั้น กรีก โรมัน เค้ายิ่งใหญ่จริงๆ (อย่างไรก็ตาม นัทงงตัวเองเหมือนกันว่าปีนขึ้นมาทำม๊ายยยแถวนี้ ทำไมไม่เก็บแรงไปปีนขึ้น Monastery)
ตามทางก็จะมีร้านขายของจุกจิกค่ะ
ขอเล่าเรื่องผ้าผืนนี้หน่อย เราเข้าไปซื้อเพราะความหนาว ตกลงราคาเสร็จ มีเด็กน้อย มาสอนโพก ผูกให้เราอย่างดี ผูกเสร็จ ขอตังค์จ้าาาาา ไม่ให้ก็ไม่ได้ ตามมาเป็นขบวนเลย ฮืออออ เหนื่อย
ตรงนี้ถ้ากลับไปดูในแผนที่ที่แนบให้ จะเป็นตรงที่มี Tomb เรียงรายเยอะๆ นะคะ ซึ่งเราที่ถ่ายรูปนี้ได้ ต้องเดินมาถึงประมาณ Colonaded Street หรือ ใกล้ๆ Grand Temple ค่ะ
นี่ไง ด้านหลังเรา
จากนั้นก็มาถึงพาร์ทที่เดินขึ้นเขาแล้วค่ะ จริงๆ มีทัศนียภาพที่สวยงามมากเลยนะคะ ใครเดินเก่งๆ ค่อยๆ เดิน สบายๆ เลย ทางประมาณนี้
นอกจากเราเดินไม่ไหว คุณแม่ก็เดินไม่ไหวค่ะ ผู้ชนะในทริปนี้คือคุณพ่อ ตอนเดินไปกลางทางที่ไม่ไหวแล้ว มีลาเดินสวนมาแค่ 2 ตัวค่ะ แต่คุณพ่อเค้าก็ออกตัวอยู่แล้วว่าเค้าเดินสบายๆ ตั้งแต่แรก ส่วนเรากับแม่ขอพึ่งน้องลากันทั้งคู่
ทางเดินก็เป็นแบบที่เห็นค่ะ
และแล้วก็มาถึงจ้าาาาา ตรงนี้ จะเป็น facade เจาะหินเหมือนกัน ใหญ่กว่าและสมบูรณ์กว่าด้านล่างค่ะ เราว่าทั้งสองจุดมีสเน่ห์ต่างกัน เพราะ Treasury จะเห็นเป็นซอกหิน ดูลึกลับๆ ส่วนที่นี่จะเห็นเป็นหุบเขา ดูยิ่งใหญ่ อลังการ
ขากลับ ลามาส่งเราถึงตรง Treasury เลยค่ะ บอกเลยว่า จำไม่ได้ว่าจ่ายไปเท่าไหร่ แต่น่าจะหลายร้อยบาทอยู่ค่ะ
Wadi Rum Camp
จากนั้นเราก็ออกมารอคนขับรถที่โรงแรมค่ะ นัดไว้ สี่โมง ขับมาประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็ถึงที่พักเราค่ะ ที่พักอยู่กลางทะเลทรายเลย วันนี้คนขับเอารถโฟร์วีลมารับ แล้วต้องปล่อยลมยางก่อนเข้าทะเลทรายด้วยค่ะ
ที่พักเราในค่ำคืนนี้ชื่อว่า Wadi Rum Sun City Camp สมัยนั้นยังไม่มีที่พักที่เป็นรูปบอลลูนกลมๆ มีแต่แบบแคมป์แบบชาวเบดูอิน
ซึ่งความน่าทึ่งของแคมป์นี้ นอกจากวิวที่โคตรของโคตรสวยแล้ว คือในเต้นท์ที่ทอด้วยขนสัตว์ มันอุ่นค่ะ ข้างนอกหนาวมากเลยนะ แต่ข้างในอุ่นแบบไม่ต้องใช้ฮีตเตอร์เลย! มีห้องน้ำในตัวด้วยค่ะ
Wadi Rum จริงๆ แปลว่า Valley of the Moon นะ หุบเขาจันทรา แต่กลับกลายเป็นฉากในหนังดาวอังคารทั้งนั้นเลย! ใครๆ ก็ว่า มาที่นี่เหมือนมาเหยียบดาวอังคาร เป็นฉากถ่ายทำให้เรื่อง The Martian, Star Wars และหนังอีกหลายเรื่องเลยค่ะ
ไปถึงเช็คอินปุ๊ป ขอไปปีนป่ายก่อนเลย คือมันสวยมากกกกกกกกจนอยู่ดีๆ ก็มีแรงเฉยเลยค่ะ
น่าทึ่งมากจริงๆ
เราอยู่ถึงพระอาทิตย์ตกเลย อันนี้คือปีนมาที่เนินเขาหินข้างๆ บริเวณแคมป์นะคะ
ตอนกลางคืนพยายามถ่ายดาว แต่เมฆเยอะมากกกกก จริงๆ เช้าวันนี้ เราต้องได้ไปขึ้นบอลลูนตั้งแต่ 6 โมง แต่ลมแรง อากาศไม่ดี เลยต้องแคนเซิลไปค่ะ
เช็คราคาที่พักและจองได้ที่ >> Wadi Rum Sun City Camp
ตอนถัดไป เราจะพาทุกคนไปปีนป่ายเล่นในทะเลทรายสีชมพู Wadi Rum ขี่อูฐชมวิว แล้วจะพาไปพิสูจน์ว่า Dead Sea ลอยตัวได้จริงมั้ย? ไปอ่านกันต่อได้เลยนะคะ!
สามารถติดตามการเดินทางในจอร์แดนของเราทั้งทริป ได้ที่
[เที่ยว จอร์แดน ด้วยตัวเอง Ep. 1] รู้จักจอร์แดน แผนการเดินทาง และ ค่าใช้จ่าย
[เที่ยว จอร์แดน ด้วยตัวเอง Ep. 2] จาก King’s Highway สู่ Petra บนเส้นทางเก่าแก่นับพันปี
[เที่ยวจอร์แดน ด้วยตัวเอง Ep. 3] นครสีกุหลาบ ‘เพตรา’ – นอนแคมป์วิวดาวอังคาร
[เที่ยวจอร์แดน ด้วยตัวเอง Ep.4] ขี่อูฐกลางทะเลทรายสีชมพู ลอยตัวในเดดซี แช่น้ำแร่ Ma’in
[เที่ยวจอร์แดน ด้วยตัวเอง Ep. 5] แช่น้ำพุร้อน เที่ยวกรุงอัมมาน เยือนนครโรมันโบราณ Jerash
สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!
หากชอบรีวิว ช่วยกดไลค์เพจเป็นกำลังใจให้หน่อยนะคะ หรือไปตามไอจี @eatchillwander อัพเดทกันแบบเรียลไทม์ขอบคุณมากๆ ค่า
ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com