DUBAI Stopover : ทริปทรานสิทเปลี่ยนเครื่องกับ 21 ชั่วโมงใน “ดูไบ”

ไหนๆก็ต้องไปแวะต่อเครื่องที่ดูไบอยู่แล้ว งั้นแวะเที่ยวเลยละกัน!!

ใครไปต่อเครื่องนานๆ ที่ดูไบ มามุงทางนี้เลย เรื่องของเรื่องคือเราจองตั๋วสายการบิน Emirates ซึ่งต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน Dubai ประมาณ 3 ชั่วโมง เลยตัดสินใจว่า เปลี่ยนจาก 3 ชั่วโมง เป็น 21 ชั่วโมงไปเลยดีกว่า เพื่อที่จะได้แวะเที่ยวมหานครยิ่งใหญ่แห่งตะวันออกกลางอย่าง ดูไบ อีกด้วย


ข้อมูลทั่วไป (Update 2024)

– ดูไบ อยู่ในประเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรทส์ หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า U.A.E.

– เอมิเรทส์ เป็นที่อยู่ของคนกว่า 200 เชื้อชาติ มักจะเป็นที่กล่าวกันว่า ใน U.A.E. นี้มีชาว Emirati จริงๆแค่ 20% ที่เหลือเป็นคนทำงานหรือ Expats ที่ถือว่าที่นี่เป็นบ้าน

– และนั่นหมายความว่า ทุกคนสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ซึ่งเป็นข้อดีมากค่ะ

– ที่นี่เป็นประเทศอาหรับที่ค่อนข้างเปิดกว้าง เรายังจะเห็นร้านที่ไม่เสิร์ฟแอลกอฮอลล์ และ การปฏิบัติตามหลักศาสนา อยู่สลับกับร้านที่เสิร์ฟทุกอย่าง ในซุปเปอร์มาร์เก็ตมีเซคชั่นแยกขายเนื้อหมูและเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์

– ในช่วงซัมเมอร์ ที่นี่อากาศร้อนมากกกกกถึงมากที่สุด แต่ฤดูหนาวก็เย็นสบายมากๆ เลยค่ะ

– ที่นี่มีสถิติโลกเยอะมาก มีตึกที่สูงที่สุดโลกในปัจจุบันคือ Burj Khalifa และ ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก (นับตามพื้นที่) อย่าง Dubai Mall ค่ะ

–  ทริปนี้เราไปคนเดียว รู้สึกปลอดภัยมาก โดยเฉพาะถ้าเทียบกับประเทศในตะวันออกกลางเอง รู้สึกว่า ผู้หญิงดูไบก็ค่อนข้างอิสระในการแต่งตัว เป็นประเทศที่เปิดและโมเดิร์นมากๆ ผู้หญิงเดินทางคนเดียวสบายๆค่ะ


วิธีทำ Transit Visa

ดูไบจะมีวีซ่าทรานสิทแบบ 48 ชั่วโมง (ราคา~10USD) และ แบบ 96 ชั่วโมง (ราคา~49USD) แล้วก็จะเป็น Tourist Visa 30 Day (แบบ Single Entry ราคา~90USD) ไปเลยค่ะ

เนื่องจากเราจองตั๋วเครื่องบินกับสายการบินเอมิเรทส์ การทำวีซ่าจะสามารถกดทำได้จากหน้า Manage Booking ในเว็ปไซต์ของสายการบินเอง เมื่อกดเข้าไปจะมีให้กรอก Application Form อัพโหลดเอกสาร (สำเนาพาสพอร์ท, รูปถ่ายสี, สำเนาการจองโรงแรม ถ้ามี, สำเนาวีซ่าอื่นๆที่เคยผ่านมา) จากนั้นจึงกดจ่ายเงินออนไลน์ได้เลย ซึ่งทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 4 วันทำการ และจะส่งอีเมล์วีซ่ามาให้ และให้เราปริ้นท์เพื่อใช้ผ่านเข้าเมือง

การดำเนินการทั้งหมด ไม่ต้องใช้พาสพอร์ทเล่มจริงค่ะ วีซ่าจะขอได้ประมาณ 30 วันก่อนวันบินนะคะ (จะมีปุ่มให้กดในหน้า Manage Booking ค่ะ ก่อนหน้านั้นจะไม่มีให้กด) — แม้จะบอกว่าใช้เวลา 4 วันทำการ แต่เราได้ในวันรุ่งขึ้นเลยค่ะ

ถ้าไม่ได้บินกับ เอมิเรทส์ แนะนำให้ติดต่อโรงแรมค่ะ หลายๆ โรงแรมมีบริการทำวีซ่าค่ะ

สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com หรือ Trip.com < คลิ๊กที่ลิงค์ได้เลยค่ะ


แผนการเดินทาง

เราเดินทางออกจากประเทศไทยประมาณตีสอง และ ไปถึงที่นั่นเวลาประมาณ หกโมงเช้าตามเวลาเอมิเรทส์ ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง 30 นาที ผ่านการตรวจคนเข้าเมืองอย่างรวดเร็วมาก เราปริ้นท์วีซ่ามาเผื่อ แต่เค้าไม่ได้ดู ใช้แค่พาสพอร์ทเลย ส่วนกระเป๋าใบใหญ่เราเช็คอินไปที่ปลายทางเลยนะคะ เอาของใส่เป้มาแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไว้อาบน้ำ กับชุดนอนบนเครื่องคืนนี้

ด้วยความที่มาถึงเช้า เราเลือกซื้อทัวร์ Morning Dune Drive ซึ่งจะเป็นทัวร์ซาฟารีช่วงเช้า (คนส่วนใหญ่จะมาช่วง sunset นักท่องเที่ยวน่าจะเต็มมากค่ะ ช่วงเช้าไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ไพรเวทมาก) แล้วก็ซื้อตั๋ว Big Bus ซึ่งเป็นบัสที่จะไปจอดตามจุดท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ ซึ่งมีบัสทุกๆ 30 นาที และเราจะขึ้นลงตรงไหนก็ได้ค่ะ *สำหรับ Big Bus ถ้าลองวางแผนแล้วไปไม่ครบก็ใช้ขนส่งสาธารณะหรือแท็กซี่ก็ได้ค่ะ อยู่ที่ว่าจะไปไหนบ้าง*

ทางไปจองทัวร์ Morning Desert Safari : คลิ๊กที่นี่
ทางไปจองตั๋ว Big Bus : คลิ๊กที่นี่

เรานัดในทัวร์มารับที่ล๊อบบี้โรงแรม Sofitel Downtown ซึ่งอยู่ติดกับรถไฟฟ้าสถานี Burj Khalifa นั่งมาจากสนามบินประมาณ 30 นาที (ไม่ได้พักนะคะ คือมานั่งทานกาแฟรอที่ล็อบบี้)

รถไฟฟ้าที่นี่มีโซนแยกสำหรับผู้หญิงด้วยนะคะ ซื้อตั๋วได้ที่สถานีเลยค่ะ จำราคาไม่ได้ น่าจะประมาณ 4.5 AED ค่ะ นัทใช้เป็นบัตร NOL เติมทีเดียวไปเลย

รถที่มารับเราเป็นรถ 4 Wheels คนขับทำหน้าที่ไกด์ พูดภาษาอังกฤษได้ดี มีผู้โดยสาร 3 คน คือเรา และ ลุงชาวอเมริกันสองคน ทัวร์จะพาเข้าไปใน Dubai Desert Conservation Reserve ซึ่งจะได้เห็นสัตว์ทะเลทรายตามธรรมชาติค่ะ

ตัวแรกที่เจอ เจ้า Arabian Gazelle หาชื่อภาษาไทยไม่เจอ น้องขี้อายมาก เวลาเห็นเราก็จะรีบหลบไปหลังพุ่มไม้ สี ลาย และเขาสวยแปลกตามากค่ะ

ถัดมาเจอเจ้าตัวนี้ค่ะ Oryx ตัวนี้ก็เจ๋งมากเหมือนกัน ไม่เคยเห็นตัวจริงมาก่อน หลายคนอาจจะเคยเห็นในโลโก้สายการบินกาตาร์

ช่วงแรกจะขับมาบนทางเรียบนะคะ แต่พอซักพัก คนขับก็บอกเราว่า จะเริ่มขับใน Sand Dune แล้วนะ ซึ่งกิจกรรมนี้ ไม่แนะนำ สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวต่างๆหรือตั้งครรภ์ (กฏประมาณเวลาขึ้นรถไฟเหาะอ่ะค่ะ)

ตอนเราไปทะเลทรายที่อื่นยังไม่เคยเจอ Dune Drive เพิ่งมาที่นี่ที่แรก แรกๆก็สนุกนะคะ หลังเริ่มเวียนหัว คือต้องนึกถึงว่า กองทราย เวลาเราเหยียบเรายังจมไปครึ่งแข้ง รถมันก็จดเหมือนกันอ่ะค่ะ ยิ่งตรงสันทราย มันมีโอกาสติด เพราะฉะนั้น เค้าก็จะแสดงความสามารถในการขับขึ้นลงๆ ผ่านตรงสันไปเรื่อยๆ ส่วนความรู้สึกเราคือมันขึ้นลงแบบแทบจะตั้งฉาก (ความรู้สึกนะคะ) แล้วรถมันจะพุ่งไปแบบที่ข้างหน้าไม่มีอะไร แล้วก็เหวี่ยงลงแบบตั้งฉาก สนุกดีค่ะ

ไกด์เรามั่นใจมาก บอกขับมานาน ไม่ติดแน่นอน แต่คันข้างหลังไม่แน่ สรุปคันข้างหลังติดจริง แล้วเค้าก็จะจอดรถให้เราไปถ่ายรูปเล่น แล้วเค้าก็ไปช่วยกันอิท่าไหนไม่รู้ รถมันก็จะหายติดอ่ะค่ะ

ขับมาซักพัก ก็จะมาถึงจุดขี่อูฐค่ะ ตอนแรกเราก็อยากขี่นะคะ เพราะมีประสบการณ์ที่ดีมากๆจากจอร์แดนและโอมาน แต่ที่นี่กลายเป็นทรมานนิดนึง เพราะร้อนมาก ถึงว่าทำไมให้ขี่แค่ 10 นาที (ที่จอร์แดนเราขี่ 2 ชั่วโมง)

สำหรับเรา เค้าจะมีเซ็ทของว่างเล็กๆให้ รวมในค่าทัวร์แล้วค่ะ มีเครื่องดื่มเย็นให้เลือกด้วยค่ะ (ทัวร์นี้ขอน้ำได้ตลอดนะคะ เพราะเราต้องดื่มน้ำค่อนข้างเยอะ) จากนั้นก็จะขับรถกลับมา ประมาณ 40 นาทีก็ถึงตัวเมืองค่ะ โดยเค้าไปส่งลุงอีกสองคนที่โรงแรมก่อน หลังจากนั้นเค้าก็ไปส่งเราที่ Dubai Mall ค่ะ (สามารถให้เค้าส่งที่ไหนก็ได้ในตัวเมืองค่ะ)


Dubai Mall & Burj Khalifa

ที่ Dubai Mall มีร้านอาหารเยอะมากกกก มีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง รวมทั้งการขึ้นไปจุดชมวิว บนตึกที่สูงที่สุดในโลกอย่าง Burj Khalifa ด้วยค่ะ ตึกนี้สูง 828 เมตร ได้สถิติมาตั้งแต่ 2009 ยังไม่มีใครล้มได้ วิวข้างบนอลังการมาก แนะนำให้ซื้อตั๋วไปก่อนนะคะ

ทางไปจอง > จุดชมวิวตึกเบิร์จคาลิฟา


จากนั้นเราก็ใช้ตั๋ว Big Bus 24 hours โดยบัสจะแบ่งเป็น 3 สายและครอบคลุมจุดสำคัญๆทั้งหมดเลยค่ะ อันนี้ต้องลองวางแผนดูนะคะว่าอยากไปที่ไหนบ้าง เพราะว่า แผนการเดินทางของบางคน นั่งขนส่งสาธารณะหรือแท็กซี่ทั้งหมดอาจจะประหยัดกว่า มันอยู่ที่ว่าจะไปไหนบ้างเลยค่ะ

ทางไปจอง Big Bus : คลิ๊กที่นี่

รถออกทุกๆ 30 นาทีนะคะ แผนที่ประมาณนี้ เราไปหลักๆ สองจุดคือฝั่ง Old Town สายสีแดง และนั่งกลับมาขึ้นสายสีเขียวไปลง Souk Medinat ระหว่างทางก็ได้ชมเมืองไปด้วยค่ะ

เรามาฝั่ง Al Fahidi กันก่อนค่ะ ย่าน Al Fahidi นั้น เป็นที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้างที่เก่าแก่ที่สุดที่หลงเหลืออยู่ต่าง Al Fahidi Fort และก็จะได้เห็นอาคารแบบดั้งเดิม อย่างอาคารที่มี Wind tower แบบอาหรับ ด้านหน้ายังมีจัดแสดงชีวิตในเตนท์กลางทะเลทราย และตามตรอกเล็กตรอกน้อยนี้ก็เต็มไปด้วยร้านอาหาร โรงแรม นิทรรศการศิลปะและแกลเลอรี่อีกด้วยค่ะ

ส่วนติดกันแบบเดินข้ามถนนมาจะมีย่าน Al Seef อยู่ติดกับ Al Fahidi เลยค่ะ ในขณะที่ Al Fahidi จะเป็นย่านเมืองเก่าดั้งเดิมจริงๆ ที่ Al Seef นั้นจะเป็นย่านที่สร้างขึ้นมาใหม่แต่ทำเลียนแบบของเก่า เพื่อเป็นการอนุรักษ์และแสดงให้เห็นถึงมรดกทางวัฒนธรรมที่ชาวดูไบภาคภูมิใจค่ะ ย่านนี้เค้าทำขึ้นมาเป็นแหล่งแฮงค์เอาท์ มีร้านค้า ร้านอาหาร เดินแล้วมันมีฟีลลิ่งแบบตลาดอาหรับ มีเสน่ห์ดีค่ะ อยู่เลียบริมน้ำ

หลังจากเที่ยวย่านนี้เสร็จ เราก็นั่งรถกลับมาที่ Dubai Mall เพื่อเปลี่ยนเป็นสายสีเขียวค่ะ จาก Dubai Mall ไป Souk Madinat จริงๆ ถ้านั่งแท็กซี่มาเลยคือไม่กี่นาทีเอง แต่ว่ารถ Big Bus เค้าจะตรงเลยไปฝั่ง Dubai Marina ก็จะผ่านชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Ain Dubai ด้วยค่ะ ถือว่าได้นั่งรถชมเมืองแบบทั่วๆ ได้เข้าไปใน Palm Dubai ที่เป็นเกาะรูปต้นปามด้วย ใช้เวลาเป็นชั่วโมงอยู่ค่ะ

มาถึง Souk Medinat Jumeirah เป็นอีกจุดนึงที่ชมตึก Burj Al Arab ได้สวยงาม พร้อมบรรยากาศแบบตลาดอาหรับ (คำว่า Souk แปลว่า ตลาดค่ะ) แต่อันนี้อยู่ภายในอาคารนะคะ แอร์เย็นฉ่ำ เราก็มานั่งชิลล์จิบกาแฟ เดินเล่น มีของฝากมากมาย

อีกออปชั่น ถ้าใครไม่ไป Souk Madinat นัทแนะนำไปดูวิวที่ The View at The Palm ได้เช่นกันค่ะ อันนี้กลับไปอีกทริปนะคะ

จากนั้นก็จะนั่งรถรอบสุดท้ายกลับมาที่ Dubai Mall ตอนเย็นรถติดเหมือนกันนะคะ มาที่นี่อย่าพลาดชมโชว์น้ำพุ ซึ่งเค้าเคลมว่าเป็นระบบโชว์น้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในโลก (อีกแล้ว ที่สุดในโลกทุกอย่าง อลังการจริงๆ ยิ่งคิดว่าเป็นเมืองที่สร้างขึ้นมาบนทะเลทรายที่ว่างเปล่า ยิ่งรู้สึกอเมซิ่งเท่านั้น)

โชว์น้ำพุ มีทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ครั้งละ 5 นาที ตั้งแต่เวลา 6 โมงเย็นถึง 5 ทุ่ม มันเต้นตามเพลง 1 เพลง มีตึก Burj Khalifa เป็นฉากหลัง

จากนั้น เราก็นัดทานอาหารเย็นกับเพื่อนสาวชาวดูไบที่เคยเป็นคลาสเมทเราค่ะ ซึ่งถัดจากนี้จะขอเขียนเรื่องอาหารยาวหน่อยเป็นบันทึกไว้ให้ตัวเองกลับมาอ่านด้วยค่ะ

เค้านัดเราที่ร้านชื่อ Mezza House อยู่ไม่ไกลจาก Dubai Mall เลยค่ะ จริงๆต้องอธิบายก่อนว่า เวลามาตะวันออกกลาง เราก็จะเรียกรวมๆว่าอาหารอาหรับ แต่จริงๆ คำว่าอาหรับเองมันค่อนข้างจะซับซ้อนนิดนึงนะคะ เพราะมันรวมพื้นที่กว้างๆ ซึ่งมีอียิปท์ ลิเบีย อะไรแบบนี้ด้วย และคนอาหรับเอง บางครั้งก็จะมีการแบ่งเป็นชาวอาหรับอ่าว (Gulf Arabs) กับ ชาวอาหรับเมดิเตอเรเนียนตะวันออก (Levant Arabs) จริงๆ ดูไบเป็นประเทศอ่าวนะคะ และอาหารที่เราจะมากินวันนี้ จริงๆแล้วเป็นอาหารอาหรับแบบ Levantine หรือกลุ่มประเทศทางเมดิเตอเรเนียนตะวันออก ได้แก่ ปาเลสไตน์ ซีเรีย เลบานอน จอร์แดน อิรัก แต่ก็เป็นอาหารที่แพร่หลายและมีอิทธิพลต่ออาหารในประเทศอ่าวเช่นกัน

เอาใกล้ตัวที่สุดก่อน ปกติเราก็จะนึกถึง Kebab กับ Hummus นะคะ แต่วันนี้เราจะมากินอะไรที่ ถ้าไปเอง เราสั่งเองไม่เป็นค่ะ แต่มันอร่อยมากๆ เบิกเนตรมาก จานแรกเป็น Kebbeh Bel Labban ซึ่งแปลว่า Kebbeh ในซอสโยเกิร์ต เราชอบจานนี้ ค่อนข้างถูกปากค่ะ ตัว Kebbeh (บางประเทศอาหรับเขียน Kibbeh) เองเป็นอีกหนึ่งในอาหารพื้นฐานของอาหารสัญชาตินี้ เป็นแป้งวีทผสมหัวหอมสับ เนื้อ,แกะหรือแพะบด ใส่เครื่องเทศแล้วย่างหรือทอด มีหลายเวอร์ชั่นมากค่ะ มีแบบไส้ทับทิมอะไรแบบนี้ด้วย มี Fattoush Salad เป็นจานค่อนข้างเบสิค จุดเด่นคือ ตัวแป้ง Levantine กรอบ อร่อยยยย ร้านนี้ทำเป็นซอสทับทิมค่ะ, Batata Harra ซึ่งเป็นมันฝรั่งผัดกับพริกกระเทียม ในน้ำมันมะกอก, Makanek Debs หรือไส้กรอกแกะในซอสทับทิม มีกลิ่นแกะค่อนข้างแรงแต่มันกลมกล่อมและเนียนมากค่ะ

จาน ไก่เสียบไม้ย่าง เรียกว่า Shish Taouk จริงๆแล้ว Kebab คืออาหารประเภทย่าง แต่แต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ได้แก่ Doner, Schwamma และ Gyros ซึ่งกินมาถึงทุกวันนี้ ก็ยังงงๆอยู่ เพราะ คนอาหรับแต่ละภาคพื้น อธิบายไม่เหมือนกันซักคนนนนนน สำหรับ Shish แปลว่าไม้เสียบนั่นเองค่ะ แต่เค้าเอาแท่งเหล็กออกให้

ส่วนจานของหวาน อยากกินอีกครั้งมากเลยค่ะ เป็นขนมหวานชีสสสสสส แบบชีสยืดมากกกก แต่หวานมากสไตล์ขนมอาหรับนะคะ จานนี้ชื่อ Kenafeh ค่ะ

หลังจากทานเสร็จ เพื่อนก็ไปส่งที่สนามบินค่ะ (จริงๆ ใช้แท๊กซี่ราคาไม่แพงมาก หรือจะขึ้นรถไฟฟ้ากลับก็ได้ค่ะ)

ทั้งนี้ทั้งนั้น ดูไบ มีอาหารหลากหลายมากกก อยากกินอะไรก็มีค่ะ จะไปกินหม้อไฟไฮตี้เหลาก็ได้ ถ้าไม่สะดวกอาหารท้องถิ่น ร้านดังฝั่งอังกฤษ เมกา มีครบค่ะ

อ้อ หนึ่งเหตุผลที่เรากล้าทำสต๊อบโอเวอร์แบบนี้ก็เพราะว่า สนามบินดูไบ มีห้องอาบน้ำแบบ shower room จริงจังเลยค่ะ มีให้แค่สบู่นะคะ เราเตรียมผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก โฟมล้างหน้าหลอดเล็ก กับชุดนอนมาเปลี่ยน (ต้องนั่งไปอีก 14 ชั่วโมง) แบกอยู่ในกระเป๋าทั้งวันไม่ได้ลำบากเลยค่ะสำหรับเรา

เครื่องออกตีสอง แต่เครื่องลำใหญ่ๆ เรียกบอร์ดดิ้งเร็ว ให้รีบไปเนิ่นๆนะคะ หน้าบอร์ดดิ้งพาสจะมีเขียนไว้ว่าเรานั่งโซนไหน เค้าจะบอร์ดผู้โดยสารเป็นโซนค่ะ


ค่าใช้จ่าย

รวมทั้งหมด ~ 6,000 บาทค่ะ

  • ค่าทัวร์ Morning Dune Drive + 24 Hours Sightseeing Ticket ~ 3,100.-
  • ค่าขึ้น Burj Khalifa ~ 1,700.-
  • ค่าวีซ่า Transit ~ 350.-
  • ค่ากิน ค่ารถไฟฟ้า ของจุกจิก ~ 1,000 บาทค่ะ มื้อนึงเป็นเซ็ทมื้อละ 300-400 ก็เอาอยู่ – ค่าครองชีพที่นี่ค่อนข้างสูงค่ะ

สำหรับเราคิดว่าค่อนข้างคุ้มนะคะ ที่จ่ายเพิ่มแค่นี้แล้วได้เที่ยว ได้เห็นอะไรขนาดนี้ และไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปกลับอีกรอบนึง ถามว่า เวลาสั้นไปมั้ย.. คิดว่าสั้นไปค่ะ จริงๆ อยู่ให้ครบโควต้า 3 วัน น่าจะดีกว่า

ที่ที่เราไม่ได้ไปแต่อยากไปคือ สวนน้ำ Atlantis The Palm ที่มีสไลเดอร์ ผ่านอควาเรี่ยมตู้ฉลาม แล้วก็กิจกรรมอื่นๆ เช่น Skydiving หรือ Jet ski ค่ะ ทางไปจองบัตรสวนน้ำ >> คลิ๊กที่นี่

ส่วน อะบูดาบีก็น่าเที่ยวนะคะ ขับรถมาจากดูไบได้เลย หรือหากมีโอกาสนั่ง Etihad ก็ทำ stopover ที่ อะบูดาบีได้เช่นกันค่ะ

สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com หรือ Trip.com < คลิ๊กที่ลิงค์ได้เลยค่ะ

ลองเก็บไว้เป็นอีกทางเลือกในการเที่ยวเมืองเจ๋งๆแบบดูไบนะคะ 🙂


นอกจากในรีวิวนี้แล้ว นัทยังมีโอกาสกลับไปดูไบอีกหลายครั้ง เลยรวบรวมเป็น 20 ที่เที่ยวในดูไบมาฝากค่ะ ถ้าใครจะเป็นเปลี่ยนเครื่องแบบนี้ ก็ลองเลือกซัก 2-3 ที่ที่สนใจแล้วไปได้นะคะ

นอกจากนี้ ยังมีลายแทงร้านอาหาร บาร์ คาเฟ่ ไว้ด้วยค่ะ > พาเที่ยว 7 คาเฟ่ ดูไบ สวยชิค บรรยากาศดี ไปดูไบห้ามพลาด [Dubai Cafe Hopping]


หากชอบรีวิว ช่วยกดไลค์เพจเป็นกำลังใจให้หน่อยนะคะ หรือไปตามไอจี @eatchillwander อัพเดทกันแบบเรียลไทม์ขอบคุณมากๆ ค่า



ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com

error: