[เที่ยว Burgundy ฝรั่งเศส ตอนที่ 2] หนึ่งวันใน Dijon เมืองหลวงแห่งแคว้นเบอร์กันดี และ ที่พักแบบปราสาท Chateau

จากความเดิมตอนที่แล้ว ที่เราขับรถเลาะหมู่บ้านน่ารักๆ สวยงามราวกับเทพนิยายในเขต Burgundy กันมาแล้ว เราก็เข้ามาพักกันที่เมืองใหญ่ของภูมิภาคอย่างเมือง Dijon (ดีฌง/ดิจง) ค่ะ ซึ่งเมืองนี้ หลายๆ คนจะเคยได้ยินชื่อมัสตาร์ด หรือหลายคนที่นั่งรถไฟ TGV ไปสวิสเซอร์แลนด์ ก็จะผ่านที่เมืองนี้ค่ะ ด้วยความที่แคว้นเบอร์กันดี หรือ Bourgogne ในภาษาฝรั่งเศสนั้น เคยเป็นแคว้นที่มีอิทธิพลมากๆ ในยุคศตวรรษที่ 14-15 เมือง Dijon ที่เป็นเมืองหลวงของแคว้น จึงกลายเป็นอีกหนึ่งเมืองที่น่าเที่ยวมากๆ ในฝรั่งเศสค่ะ
One day in DIJON
ธีมในการเที่ยวเมือง Dijon นั้น น่ารักมากๆ นั่นก็คือ ให้เราตามรอยนกฮูกค่ะ! เป็นโปรแกรมของการท่องเที่ยว Dijon เองที่เค้าจะขายแมพให้เราเดินตาม แล้วก็จะมีหมายเลข พร้อมกระเบื้องรูปนกฮูกอยู่ที่พื้น บอกละเอียดยิบ ซึ่งทั้งรูทนี้ จะครอบคลุมถึง 22 สถานที่ทั่วเมืองเก่า Dijon เลยค่ะ
ที่เป็นรูปนกฮูก เพราะเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองนี้ค่ะ ที่น่าแปลกใจคือ ไม่มีใครรู้ว่า ทำไมถึงเป็นนกฮูก!! มีหลายทฤษฎีเลย แต่ที่แน่ๆ ที่โบถส์ที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง มีรูปปั้นรูปนกฮูกอยู่ค่ะ ทำให้เป็นสัญลักษณ์มาถึงทุกวันนี้
ซึ่งเราจะเริ่มเดินตามรอย The Owl’s Trail กันเลยนะคะ ซึ่งนัทจะไม่ได้ถ่ายรูปมาครบทั้ง 22 จุด
แผนที่จะให้เราไปเริ่มจาก Darcy Garden เป็นจุดเริ่มที่ดีเลยค่ะ มีที่จอดรถ มีป้ายรถราง แต่ใดๆ คือ ไม่จำเป็นต้องมาเริ่มตรงนี้นะคะ เพราะรูทเค้าจะให้เราเดินเป็นวงกลมอยู่แล้ว เริ่มจากตรงไหนก็ได้ค่ะ
Darcy Garden นั้น ตั้งชื่อตามวิศวกรระบบน้ำที่ชื่อว่า Darcy ซึ่งเป็นคนสำคัญในการออกแบบและแก้ปัญหาเรื่องระบบประปาในเมือง Dijon ค่ะ ที่นี่ถือเป็นสวนสาธารณะที่สวย มีน้ำพุอยู่หลากแห่ง และน่านั่งเล่นมากๆ เลย
จุดถัดไป จะเป็น Facade of the Grand Hotel de la Cloch หนึ่งในอาคารเก่าแก่ที่มีความสวยงาม ในปัจจุบันเป็นโรงแรมค่ะ จากนั้นเราก็จะเดินผ่าน Porte Guillaume ซึ่งแม้ว่าจะหน้าตาคล้ายกับประตูชัย แต่ที่นี่ใช้เป็นประตูเมืองค่ะ สร้างขึ้นในช่วงปี 1700s
เข้ามาสู่ถนนหลักใจกลางเมืองเลยค่ะ แถบนี้จะมีร้านค้าให้ช้อปปิ้งมากมาย ถ้าเลี้ยวไปอีกถนน จะเป็นที่ตั้งของ Les Halles หรือตลาดในร่ม ซึ่งเปิดทุกวันอังคาร พฤหัส ศุกร์ เสาร์ เท่านั้นค่ะ เราจึงอดไป แต่ที่หาข้อมูลมาน่าสนใจมากๆ เพราะเราจะได้เห็นวัตถุดิบที่อยู่ในเมนูอาหารท้องถิ่นของเบอร์กันดี เช่น Jambon Persilles (เทอรีนในวุ้นพาสลีย์) หรือแม้แต่หัวลูกวัว ตีนหมู สมอง ซึ่งที่นี่เค้ากินกันจริงจังค่ะ
อ้อ มาถึงเมืองนี้แล้ว อย่าลืมลอง Dijon Mustard ด้วยนะคะ มีร้านขายแยกแบบ artisan อยู่ทั่วไปเลยค่ะ ตามร้านขายของชำและซุปเปอร์มาร์เก็ตก็มีทุกที่เลย
เดินตรงมาเรื่อยๆ จะเข้าสู่ จัตุรัส Place Francois Rude จัตุรัสที่ตั้งชื่อตามปะติมากรชื่อดังจากเมืองนี้ มีร้านอาหาร คาเฟ่ น่ารักๆ มีน้ำพุอยู่ตรงกลาง ที่มีคนมานั่งเล่นเยอะเลยค่ะ ดูมีเสน่ห์มากๆ
จากนั้น เดินผ่าน Rue des Forges ซึ่งความเก๋ของถนนเส้นนี้คือมีอาคารที่หลากหลาย ทั้งอาคารแบบยุคกลาง แบบเรเนซองส์ หลากหลายเลยค่ะ
ตามเจ้านกฮูกมาเรื่อยๆ เราจะมาถึง The Church of Notre-Dame of Dijon อีกหนึ่งโบถส์ที่สง่างามและโดดเด่นใจกลาง Dijon ซึ่งโบถส์แบบนี้มีคาแรคเตอร์แบบโกธิค และที่โดดเด่นคือมี Facade ด้านหน้าที่แบ่งเป็น 3 ขั้น โดยสองแถวบน เป็นการ์กอยล์ถึง 51 ตัวเลยค่ะ ไม่มีที่ไหนเหมือนเลย
สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างคือ ‘Jacquemart’ เป็นชื่อของหุ่นตีระฆังอัตโนมัติ ซึ่งมักจะเป็นส่วนหนึ่งของหอนาฬิกาหรือหอระฆังค่ะ กลไกลก็คล้ายๆ กับนาฬิกาที่ตีเวลาทุกๆ ชั่วโมง แต่ตัว Jacquemart จะเป็นรูปคนถือฆ้อนแล้วตีไปที่ระฆังเลยค่ะ ซึ่งตัวแบบนี้มีหลายที่ในยุโรปเลยนะคะ แต่ที่ที่ดังเป็นอันดับต้นๆ คือที่ Notre-Dame of Dijon ที่แหล่ะค่ะ / นัทไม่มีรูปชัด เพราะมันอยู่ข้างบนสุดเลยค่ะ
และที่โบถส์ Notre Dame แห่งดิจงนี่เอง ที่เราจะพบกัน The Owl of Dijon หินแกะรูปนกฮูกอันนี้แหล่ะค่ะ ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ผู้คนเชื่อว่าให้ลูบด้วยมือซ้ายจะโชคดีค่า
ข้างๆ โบถส์เลย จะเป็นที่ตั้งของ Hotel Vogue และ Maison Milliere ค่ะ โดย Hotel de Vogue นั้น ไม่ใช่โรงแรม แต่เป็นลักษณะคล้ายๆ กับ townhouse ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ค่ะ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมหลายอย่างที่เป็นแบบเบอร์กันดี โดยเฉพาะกระเบื้องหลังคาแบบ Toit bourguignon ที่เราจะเห็นได้แค่ในภูมิภาคนี้เท่านั้นค่ะ
ส่วน Maison Milliere เป็น half timber house หรือบ้านที่ใช้โครงสร้างจากไม้ เป็นหนึ่งในบ้านที่เก่าแก่ที่สุดใน Dijon ที่หลงเหลืออยู่ และสร้างขึ้นในช่วง 1483 ค่ะ
เดินมาอีกนิดจะพบกับ จัตุรัส Place du Theatre ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Eglise Saint-Michel โบถส์ทางซ้ายของภาพ ซึ่งสร้างขึ้นในสไตล์โกธิคผสมกับเรเนซองส์ ในศตวรรษที่ 15 – 16 ส่วนข้างๆ เป็น Rude Museum (Rude เป็นชื่อคนนะคะ ไม่ใช่คำภาษาอังกฤษ) เป็นโบถส์เก่าที่ตอนนี้กลายเป็นมิวเซียมของ Francois Rude ตัว Rude เอง เป็นปะติมากร ที่มีผลงานที่เป็นที่รู้จักอย่าง รูปปั้น La Marseillaise บนประตูชัย Arc de Triomphe ที่ปารีสค่ะ
จากนั้นเราก็จะเข้าอยู่จัตุรัสใหญ่ใจกลางเมือง ซึ่งจัตุรัสนี้แกรนด์มากๆๆ Place de la Liberation ตอนนี้เต็มไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ มีน้ำพุตรงกลาง มีผู้คนมากมายเลยค่ะ ตรงหน้าจัตุรัสใหญ่แห่งนี้ คือวังของท่านดยุคแห่งเบอร์กันดีค่ะ (Palace of the Dukes of Burgundy) ตอนนี้กลายเป็นมิวเซียมที่จัดแสดงของล้ำค่าต่างๆ ในยุคกลางและเรเนซองส์ ติดกันเป็น Fine Arts Museum และมีหอคอย Tour Philip Lebonne ที่สามารถขึ้นไปชมวิวได้อยู่ด้านหลังค่ะ
เดินมาเรื่อยๆ ก็จะครบรอบของ The Owl’s Trail แล้ว มาถึง 3 ที่สุดท้าย เป็นโบถส์สามแห่งได้แก่ Saint-Jean et la Place Bossuet ซึ่งตอนนี้ถูกเปลี่ยนเป็นโรงละคร Dijon Theatre โดยโครงสร้างหลักยังเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือที่นั่งคนดูค่ะ ใกล้ๆ กันจะเป็น โบถส์ Saint-Philibert ที่มีอายุมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 และเคยถูกใช้เป็นที่เก็บเสบียงเกลือในช่วงปฏิวัติ ด้านหลังจะเป็นจุดสุดท้ายของรูทนี้ นั่นก็คือ Saint-Bénigne
Saint-Benigne เป็นโบถส์สไตล์โกธิค ที่มีการใช้กระเบื้องหลังคาแบบเบอร์กันดี และมีหอระฆังสูงที่สุดในเมืองค่ะ ภายในสวยงาม และมีส่วนที่เป็นคริปใต้ดินให้ลงไปชมด้วย
ตลาดนัดวินเทจ (Brocante du Vieux Dijon)
เป็นตลาดนัดขายของแอนทีค/วินเทจ ที่มีแค่ทุกวันอาทิตย์ที่ 3 ของเดือนเท่านั้นค่ะ จัดที่จัตุรัสที่เรียกว่า Quartier des antiquaires de Dijon บนถนน Rue Chaudronnerie เป็นตลาดวินเทจที่คึกคักมากๆ แล้วราคาดีจริงค่ะ นัทได้ของจุกจิกมาเยอะแยะเลย ราคาไม่น่ากลัวเหมือนตลาดใหญ่ทางตอนเหนือของปารีสค่ะ
Castle Stay
ช่วงบ่ายๆ เรามาถึงปราสาทที่เราจะพักกันในค่ำคืนนี้ค่ะ เป็นที่พักที่พิเศษมาก เพราะเหมือนปราสาทเจ้าหญิงเลย
สำหรับเราการได้มาพักที่นี่ไม่ใช่แค่การมาพักแค่ค้างคืน ตั้งแต่ช่วงบ่าย ไปจนถึงสายๆ อีกวันเลย ในปราสาทแห่งนี้ ซึ่งเราคิดว่า มันคุ้มค่ากว่าการไปเที่ยวปราสาทที่เปิดให้เข้าชมแบบมิวเซียมบางแห่งเสียอีก เพราะแบบนั้น มันก็เหมือนไปดูนิทรรศการ ไม่สามารถจับของต่างๆได้ แต่แบบนี้เราได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่จริงๆ
ที่พักแบบ Chateau ของเราในทริป Burgundy ทริปนี้ มีชื่อว่า ที่นี่ Château de Longecourt ตั้งอยู่ห่างจากเมือง Dijon เมืองใหญ่ของแคว้นเบอร์กันดี โดยขับรถประมาณ 15-20 นาที โดยน่าจะเดินทางโดยรถยนต์ได้วิธีเดียวนะคะ เพราะที่หมู่บ้านเราก็ไม่ค่อยเห็นบัสผ่าน เราเลือกพักที่นี่ระหว่างวันที่จะเดินทางจากเมือง Dijon ไปเมือง Beaune ค่ะ
ที่นี่อาจจะอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านแถวนี้ค่อนข้างเงียบและชนบทนะคะ แต่ก็เป็นอีกมุมที่เราไม่ค่อยได้สัมผัสบ่อยๆในหมู่บ้านก็จะมีซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารอยู่ 1-2 แห่ง สำหรับตัวปราสาทเอง เค้าก็รีโนเวท มีไฟฟ้า มีไวไฟ ในห้องนอนและห้องน้ำ จะเป็นห้องแบบปัจจุบันค่ะ มีฮีตเตอร์ ห้องน้ำปกติเลย
ใช้ทุกอย่างได้เหมือนบ้านเลยค่ะ ราคาไม่แรงเลย อยู่ที่ประมาณ 140 Euro ต่อคืนค่ะ
วันถัดไป เราไปขับรถเที่ยวไร่ไวน์ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับไวน์เบอร์กันดีเยอะมากๆ จากนั้นก็ลงไปจนถึงเมือง Beaune และ La Rochepot เลยค่ะ ไปอ่านต่อกันได้ในตอนที่ 3 เลยนะคะ
รีวิวเที่ยวแคว้น Burgundy มีทั้งหมด 3 ตอน
[เที่ยว Burgundy ฝรั่งเศส ตอนที่ 1] โร้ดทริปไร่ไวน์ ท่องหมู่บ้านเทพนิยายในแคว้นเบอร์กันดี
รีวิวอื่นๆ ในประเทศฝรั่งเศส
สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!
หากชอบรีวิว อย่าลืมกดไลค์เพจ และ ติดตามไอจี @eatchillwander ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า
ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com