[เที่ยว ฝรั่งเศส ด้วยตัวเอง] เที่ยว Bordeaux ชมไร่ไวน์ดัง หมู่บ้านสวย Saint Emilion พักในปราสาทแบบ Chateau

เมื่อพูดถึงชื่อ Bordeaux (บอร์โดซ์) หลายๆ คนน่าจะนึกถึงไวน์แดงชื่อดังกันเป็นอย่างแรกเลยใช่มั้ยคะ!? ซึ่งก็ไม่ผิดเลย เพราะ Bordeaux Wine Region นั้น ถือเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตไวน์ที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของประเทศฝรั่งเศสกันเลยทีเดียว ชนิดที่ว่า เราไปเยี่ยมชมขั้นตอนการผลิตไวน์​ ไวน์ที่ยังหมักอยู่ในถังนั้นถูกขายหมดล่วงหน้ากันไปปีนึงแล้วเลยค่ะ!!! แต่ Bordeaux ไม่ได้มีแค่ไวน์นะคะ Bordeaux เป็นเมืองท่าที่สำคัญ มีทั้งประวัติศาสตร์ อาหาร วัฒนธรรม อยู่เต็มไปหมดเลย ถือเป็นอีกหนึ่งภูมิภาคในฝรั่งเศสที่น่าเที่ยวมากๆ เลยค่ะ

วันนี้ Eat Chill Wander ไม่ได้พาไปแค่เมือง Bordeaux นะ แต่จะพาไปเที่ยวเมืองรอบๆ ด้วยค่ะ! ที่สำคัญ เราจะไปพักชาโตว์ (Chateau) จิบไวน์กันชิลล์ๆ เที่ยวไร่ไวน์ดัง และไปเมืองยุคกลางอย่าง Saint-Emilion อีกด้วย


ข้อมูลเบื้องต้น

– Bordeaux ถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้น Nouvelle-Aquitaine ซึ่งเป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส ติดกับสเปน และ ทะเลแอตแลนติกส่วนที่เป็น Bay of Biscay ค่ะ

– ด้วยความที่ภูมิภาคนี้ใหญ่มาก เลยมีที่เที่ยวตั้งแต่เมืองใหญ่ หมู่บ้านเล็กหมู่บ้านน้อย ไร่ไวน์ Sand Dune เมืองริมทะเล ภูเขา ไปจนถึง เทือกเขา Pyrenees ที่กั้นฝรั่งเศสกับสเปนเลยค่ะ

– Bordeaux แปลว่า Port of the Moon เป็นเมืองท่าที่สำคัญ เพราะมีแม่น้ำ Garonne ไหลผ่านค่ะ เป็นแม่น้ำใหญ่ที่มีทางออกสู่ทะเลเลย ซึ่งแม่น้ำนี่จะมีความสำคัญอีกครั้งตอนที่เราศึกษาเรื่องไวน์บอร์โดซ์ค่ะ

– เมือง Bordeaux อยู่ห่างจากปารีสเกือบๆ 600 กม.เลยค่ะ ถ้าขับรถมาคือไกลมาก แต่วิธีการเดินทางที่สะดวกคือ รถไฟความเร็วสูง TGV ใช้เวลา 2 ชั่วโมงเท่านั้น เหมือนวาร์ปมา

– Bordeaux ก็มีสนามบินเช่นกันนะคะ ถ้ามาจากเมืองอื่นก็บินมาได้ แต่ถ้ามาจากปารีส นัทอาจจะแนะนำรถไฟมากกว่านิดนึง เพราะนั่งจากสถานีกลางเมือง มาสถานีกลางเมืองเลย สนามบินปารีสและสนามบิน Bordeaux อยู่ไปทางนอกเมือง แถมต้องไปรอเช็คอินอีก รวมๆ แล้ว ยังไงนั่งรถไฟ TGV ก็เร็วกว่าค่า

– สามารถจองรถไฟ TGV ได้ที่ https://en.oui.sncf/en/tgv

– ฤดูน่าเที่ยว เห็นคอไวน์บางคนจะชอบมาช่วงหลังเก็บเกี่ยว เพราะใบองุ่นกำลังเปลี่ยนสี ไร่ไวน์มันก็จะดูเป็นสีทอง ก็แนะนำเป็นฤดูใบไม้ร่วงนี่แหล่ะค่ะ ถ้าไม่งั้นก็ต้องมาก่อนช่วงเก็บเกี่ยวก็จะเขียว ช่วงใบไม้ผลิก็เย็นสบาย แต่ว่าสำหรับชาวยุโรป ช่วงซัมเมอร์ก็จะเป็นหน้าไฮที่สุดค่ะ อย่างที่ Biarritz นี่ฮิตมากๆ เลยนะคะ เคยเห็นภาพ ที่หาดแทบไม่มีที่เหลือเลย ซึ่งอากาศจะร้อนมาก นักท่องเที่ยวไทยส่วนใหญ่มักจะไม่ชอบค่า


แผนการเดินทาง

นัทคิดว่าแล้วแต่เวลาและความสนใจของแต่ละคนเลยค่ะ ถ้าใครเวลาจำกัด อาจจะไปพัก Bordeaux ซัก 2 คืน แล้วไป Saint-Emilion เป็นเดย์ทริป แบบนี้ก็ได้ แต่ทริปนัททั้งหมด ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ค่ะ

ส่วนตัว นัทบินมาจากประเทศอื่น มาลงสนามบิน Bordeaux และเช่ารถแบบรับที่สนามบิน แต่คืนในเมือง เพราะในเมืองไม่ค่อยมีที่จอดรถ นัทเลยเอามาคืนก่อนวันนึงแล้วเที่ยว Bordeaux ก่อนจะนั่ง TGV กับปารีสค่ะ

โดยในทริปนี้ นัทเริ่มจากขับไปทาง Biarritz เมืองตากอากาศริมทะเล ข้ามไปสเปน ไปพักอยู่เมือง San Sebastian  2-3 วัน ระหว่างนั้นก็ไปเที่ยวเมือง Bilbao แล้วก็เก็บดาว ทานอาหารร้านมิชลิน (ซึ่งใช้เวลาเกือบทั้งวัน) นิดหน่อยค่ะ

ก่อนที่จะขับกลับมาพักแถวๆ Sauternes (เมืองไวน์หวานชั้นนำระดับโลก) นอนเล่นอยู่ที่ชาโตว์ อีกวันก็ขับรถไปเที่ยว Saint-Emilion แล้วก็กลับมายัง Bordeaux

วันถัดมาก็ไปเที่ยวไร่ไวน์ ซึ่งเป็นไร่สำคัญใน Bordeaux ที่คอไวน์ในไทยมักเรียกกันว่า ไวน์ 5 เสือ หรือ 5 อรหันต์บอร์โดซ์ ครั้งนี้นัทไปชมมา 2 ที่ค่ะ จากนั้นก็กลับมาเที่ยวเมือง Bordeaux และนั่งรถไฟ TGV กลับปารีสค่า

หากใครไม่ขับรถ นัทว่าน่าจะต้องเบสอยู่ Bordeaux แล้วใช้ Day Tour เป็นหลักเลยค่ะ

ส่วนช่วงที่ไปสเปน เดี๋ยวแยกเป็นอีกตอนนะคะ


Bordeaux

เมือง Bordeaux เป็นเมืองใหญ่ที่น่าเดินเล่นมากๆ เราใช้รถราง (Tram) เป็นรถสาธารณะหลักๆ ตอนไปนัทพักโรงแรมหน้าสถานีรถไฟเลย แล้วขึ้นแทรม+เดินเที่ยวเอาค่ะ จุดคืนรถที่เช่ามาก็อยู่ในสถานีรถไฟเช่นกัน

ที่เที่ยวใน Bordeaux ได้แก่ La Grosse Cloche แปลตรงตัวได้ว่าระฆังใหญ่ และเป็นหนึ่งในหอระฆังที่เก่าที่สุดในฝรั่งเศส สร้างตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 เป็นหนึ่งในสิ่งที่อยู่มาตั้งแต่ยุคกลาง ก่อนที่เมืองจะถูกทำลาย

Place de la Bourse จัตุรัสใหญ่มากๆ ถือเป็นจุดแลนด์มาร์กของบอร์โดซ์เลยค่ะ ซึ่งตรงนี้จะอยู่ริมน้ำ เป็นพรอมเมอนาดยาว และวิวสวย น่าเดินเล่น บางคนก็มานั่งเล่นค่ะ ฝั่งตรงข้ามจะมี Water Mirror เป็นสระเงาสะท้อนขนาดใหญ่ที่ตอนฤดูร้อนจะมีเด็กๆ มากเล่นน้ำเต็มเลย

สามารถมาชม Pont de Pierre ซึ่งเป็นสะพานแรกที่เชื่อมฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำ Garonne

Bordeaux Cathedral สิ่งปลูกสร้างทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในบอร์โดซ์ สร้างในสไตล์โกธิค ในศตวรรษที่ 12 – 16

Rue Sainte-Catherine ถ้าคุณชอบช้อปปิ้ง ต้องมาถนนนี้เลยค่ะ ถนนนี้เป็นถนนช้อปปิ้งคนเดินที่ยาวที่สุดในยุโรป ความยาวถึง 1.2 กม. ตรงนี้มีทั้งร้านดัง ร้านเล็กร้านน้อย ร้านคานาเล่ รวมไปถึง Galaries Lafayette ห้างใหญ่ชื่อดังอีกด้วยค่ะ

เดินมาจนสุดถนนเราจะพบกับ Grand Theatre of Bordeaux ค่ะ

สารภาพตรงๆ ว่ามาบอร์โดซ์ครั้งนี้ ไม่ค่อยได้เที่ยวบอร์โดซ์เลย เอาเวลาไปทัวร์ไวน์เป็นส่วนใหญ่เลยค่ะ นอกจากไวน์ ก็อย่าลืมลองทาน Caneles ด้วยนะคะ

ขนม คานาเล่ เกิดขึ้นที่เมือง Bordeaux นี้เลย และเกิดขึ้นเพราะการผลิตไวน์ด้วย มันเริ่มจากการที่เค้าใช้ไข่ขาวดักจับตะกอนในไวน์ ทำให้เหลือไข่แดงทิ้งเยอะมากกกก แล้วแม่ชีที่คอนแวนท์เลยนำไข่แดงที่กำลังจะถูกทิ้ง มาดัดแปลงเป็นขนมคานาเล่ แบบที่เราเห็นทุกวันนี้ค่ะ


Chateau Stay

สำหรับนัทการมาแถวแคว้นปลูกไวน์แล้วไปพักตาม Chateau (ชาโตว์) นี่เป็นไฮไลท์ของทุกทริปที่ไปเลยค่ะ อย่าง Chateau ที่นี่จะอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่เราไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยค่ะ อยู่ไม่ไกลจากเมือง Sauternes เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องไวน์หวานมากๆ

ชาโตว์ที่มาพักครั้งนี้ ชื่อว่า Chateau de Camperos อยู่ในเขต Barsac ค่ะ ขับรถจากบอร์โดซ์ประมาณ 45 นาที

ซึ่งที่นี่ต่างจากที่ที่เราเคยไปพัก เพราะเป็นแนวโฮมสเตย์ รีโนเวทภายในเกือบหมดแล้วค่ะ ห้องน้ำ ฮีทเตอร์ เป็นของแบบปัจจุบันหมดแล้ว แต่โครงสร้างและการตกแต่ง สวยงามมากๆ เลยค่ะ ชอบที่มีแกรนด์เปียโน โต๊ะหมากรุก โต๊ะเฟรนช์บิลเลียดไว้ให้เล่น ใครมาหน้าร้อนก็มีสระว่ายน้ำด้วยค่ะ

ที่สำคัญ ที่บ้านทำอาหารอร่อย เราเลยทานอาหารเย็นกันที่นี่เลยค่ะ

ติดต่อที่นี่ได้เลย Whatsapp ไปก็ได้ค่ะ โฮสท์ใจดีมากกก http://www.chateau-de-camperos.com/en/

ห้องนอนกว้างขวาง

ด้านล่างตกแต่งสวยมากเลยค่ะ

แค่นั่งอ่านหนังสือ จิบชา เล่นเปียโน เล่นหมากรุกกับบิลเลียด นี่ก็หมดวันแล้วค่ะ ได้ใช้เวลาคุณภาพกับคุณแฟนแบบนี้ ดีมากๆ เลยล่ะค่ะ

อาหารเช้า

อาหารเย็น ไม่รวมอยู่ในค่าห้องนะคะ แต่จำได้ว่าราคาถูกกว่าทานข้างนอก แล้วก็สะดวกด้วยค่ะ


Saint-Emilion

ขับรถเพียง 40 นาทีจาก Bordeaux เราก็จะเจอหมู่บ้านเล็กๆ ทรงสเน่ห์ที่ชื่อ Saint-Emilion (แซงต์เตมิลยง) เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่ผลิตไวน์แดงทางฝั่งขวาของแม่น้ำ Garonne มีไวน์ชื่อดังระดับโลก

และเป็นหมู่บ้านสวยที่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกจาก UNESCO

เมืองนี้ จะมีที่จอดรถอยู่ทางเข้าเมือง นอกนี้ใช้เป็นการเดินเอาค่ะ เดิน 500 เมตร ก็สุดเมืองแล้ว เล็กมากกก แต่ขึ้นลงเนินเยอะมากเลย พอหลุดจากโซนหมู่บ้านนี้ รอบๆ คือไร่ไวน์ทั้งหมดเลยค่ะ สามารถไปชมได้เช่นกัน

ชื่อเมือง Saint-Emilion นั้น ตั้งชื่อตามพระสงษ์ที่ชื่อ Emilian ที่เดินทางมา และมาอยู่ในถ้ำที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ในศตวรรษที่ 8 หลังจากนั้นก็มีผู้แสวงบุญตามมา ทำให้ในเมืองมีศาสนสถานมากมาย

ศาสนสถานที่สำคัญที่สุดในเมืองนี้ คือ Monolithic Church ซึ่งคำว่า Monolithic แปลว่า งานสร้างจากหินหนึ่งชิ้น ตัวโบถส์ได้เจาะผาและนำหินออกไป ซึ่งที่นี่นัทอยากให้ทุกคนได้เข้าไปชมของจริงมากๆ เลยค่ะ เพราะ ตอนเข้าไปจริงๆ มันยิ่งใหญ่และดูไม่น่าเชื่อเลยว่าจะสร้างได้ การจะเข้าชม จะต้องร่วมทัวร์เท่านั้นนะคะ มีทัวร์สองรอบคือช่วง 11.00 น.​และ 14.oo น. ไม่สามารถถ่ายภาพข้างในได้

ที่อยากรีบให้มาชมเพราะว่า ทางการเอง ก็ไม่รู้ว่าโบถส์นี้มันจะอยู่ไปได้อีกนานขนาดไหน เพราะตอนที่เค้าสร้าง ไม่ได้มีการคำนวณแบบปัจจุบัน แค่ขุดหินข้างในออก เสาหนึ่งเสาหนักเท่ากับช้างแอฟริกัน 800 ตัว ข้างในเป็นห้องโถงใหญ่ และโบถส์ทั้งชิ้นคือหินก้อนเดียวกันค่ะ อยากให้มาชมจริงๆ อีกสิ่งที่เค้ากลัวมากกว่าคือ ถ้าโบถส์ถล่มอาจจะทำให้หมู่บ้านนี้ถล่มไปหมดเลย ตอนนี้ก็มีการเอาโครงสร้างเหล็กมาพยายามยันไว้ค่ะ

อีกจุดหนึ่งที่ควรเข้าไปชมคือ Eglise Collegiale โบถส์สไตล์โรมาเนสก์ผสมโกธิค ซึ่งมีทางเดินแบบ Cloister ช่วงที่นัทไปมีตลาดคริสต์มาสด้วยค่ะ

ภายในเมืองจะมีร้านไวน์เยอะมากๆ แต่ด้วยความที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ราคาจึงตั้งมาค่อนข้างแพงค่ะ จริงๆ ไปหาร้านไวน์ท้องถิ่นในตัวเมืองบอร์โดซ์เผลอๆ จะถูกกว่า

นอกจากนี้ อย่าลืมไปยังจุดชมวิวต่างๆ ที่เห็นพาโนราม่าทั่วเมือง เช่นตรง La Tour du Roy ด้วยนะคะ


Bordeaux Wine Region

บอกก่อนเลยว่า ในฐานะคนไม่ทานไวน์… ไวน์บอร์โดซ์ นี่แบ่งลำดับขั้นและ AOC (Appellation d’Origine Contrôlée) ยิบย่อยมากเลยค่ะ เอาหยาบๆ เลย คือเค้าจะแบ่งเป็นไวน์ฝั่งซ้ายของแม่น้ำ และ ฝั่งขวาของแม่น้ำ (Left bank/Right bank) ซึ่งทั้งสองฝั่งเนี่ยจัดลำดับขั้น classification ไวน์ไม่เหมือนกันอีก

พื้นที่ Left bank กับ Right bank นั้นมีลักษณะโครงสร้างของดินหรือ terroir ไม่เหมือนกัน องุ่นที่นำมาใช้เป็นหลักของแต่ละฝั่งจึงไม่เหมือนกัน แต่ไวน์แดงบอร์โดซ์ส่วนใหญ่ มักจะใช้ Cabernet Sauvignon และ Merlot เป็นหลัก ตามด้วย Cabernet Franc, Petit Verdot และ Malbec

ส่วนไวน์ที่ดังๆ ฝั่ง Left bank เค้าจะเรียกว่า 5 เสือบอร์โดซ์ค่ะ เป็นไร่ไวน์ที่ถูกจัดอันดับให้เป็น First Growth Premiere Grand Cru Classe หรือลำดับขั้นที่สูงสุด ของ ไวน์บอร์โดซ์ฝั่งนี้ค่ะ

ผู้ผลิตที่ได้รับลำดับขั้นนี้ ได้แก่ Chateau Latour, Chateau Lafite-Rothschild, Chateau Margaux, Chateau Haut-Brion, Chateau Mouton-Rothschild ซึ่งในทริปนี้ เราไปชมมา 2 ที่

ส่วนไวน์บอร์โดซ์ที่ฮิตกันมากๆ ในหมู่คนไทยอย่าง Petrus จะอยู่ Right bank ค่า

ทั้งสองไร่ให้ความรู้ดีมากกกก และเล่าให้เราฟังอย่างละเอียดมากๆ โดยทัวร์ไวน์นี้ สามารถอีเมล์มาสอบถามและจองกับไร่ได้เลย ไม่มีค่าใช้จ่ายนะคะ

มาที่ Chateau Lafite-Rothschild กันก่อนค่ะ Chateau Lafite เป็นไร่ไวน์เก่าแก่ที่มีชื่อเสียงระดับตำนาน ทาง Vineyard ก็จะอธิบายตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บเกี่ยวด้วยมือ การเลือกองุ่น การนำมาคั้น บ่ม เราได้เห็นเครื่องที่เค้าใช้ pump-over (ให้เกิดแทนนินมากขึ้น โดยไม่หนักเกินไป) เห็นการทำถังไม้โอ๊ค เพราะไวน์​ Premiere Grand Cru Classe จะใช้ถังใหม่ทั้งหมด

ไปจนถึงไฮไลท์ คือ Wine Cellar ที่เป็นรูปวงรี ซึ่งตรงนี้เก็บไวน์ที่กำลังบ่ม แต่ไวน์เหล่านี้มักจะถูกขายไปหมดแล้ว ที่เราเห็นอยู่นี่คือ ไวน์ที่จะไปบรรจุขายมูลค่าขวดละสองถึงสามหมื่น ถังนึงก็มูลค่าเกือบๆ สิบล้านเลยค่ะ

ช่วงที่ไปเป็นหน้าหนาว ต้นองุ่นจะโล้นๆ เลยค่ะ จริงๆ ต้องไปช่วงก่อนหรือหลังเก็บเกี่ยว จะยังมีใบสวย

จากนั้นก็มาที่ Chateau Margaux ซึ่งกระบวนการผลิตจะคล้ายกัน แต่การเบลนด์องุ่น รายละเอียดในการผลิต รวมไปถึงโครงสร้างดิน (Terroir) จะแตกต่างกัน ทำให้ได้ไวน์ที่มีคาแรคเตอร์ต่างออกไป ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าใครจะชอบของชาโตว์ไหนแล้วค่ะ

ภาพชาโตว์ด้านล่างนี่คุ้นๆ บ้างมั้ยคะ?

มันคือภาพในฉลากไวน์จาก Chateau Margaux นั่นเอง โดยหลายๆ ไร่เค้าจะทำฉลากที่สองมาด้วย โดยฉลากแรกหรือ First Label จะเป็น Chateau Margaux ที่ได้รับการจัดลำดับขั้นสูงสุดมาตั้งแต่แรก ส่วนฉลากที่สอง อาจจะเบลนด์ต่างไป หรือ อาจจะใช้องุ่นที่เกรดรองลงมา อย่างที่นี่จะเป็นฉลากชื่อ Pavillion Rouge ค่ะ

มาทัวร์ไร่ เค้าก็จะมีไวน์ให้ชิมด้วย (ไม่มีค่าใช้จ่าย) ซึ่งไวน์ที่ให้ชิมจะค่อนข้างใหม่ไปนิดนึงค่ะ

แต่สำหรับนัท ไวน์ในภูมิภาคนี้ที่ชอบที่สุด คงต้องยกให้ไวน์หวานค่ะ ไวน์หวานจาก Chateau d’Yquem ในเมือง Sauternes คือดีงามมากๆ ยิ่งปีเก่ายิ่งดี นัทเคยกินเก่าสุดที่ปี 1939 กลมมากค่ะ ไม่หวานแหลมเลย แล้วสตรัคเจอร์ดีมากๆ เป็นไวน์หวานที่ดีที่สุดที่เคยทานมาเลยค่ะ


Biarritz

เมืองตากอากาศริมทะเล ที่อยู่ในฝรั่งเศส แต่ถือว่าเป็นแคว้น Basque ค่ะ เป็นเมืองที่ค่อนข้างหรูหราและราชวงศ์ยุโรปชอบมาเยือนตั้งแต่สมัย 1800s เห็นเมืองเล็กๆ แบบนี้ มีร้านอาหารมิชลิน 3 ร้านเลยค่ะ

ทะเลตรงนี้เป็นที่นิยมมากๆ ในช่วงซัมเมอร์ เป็นจุดเล่นเซิร์ฟยอดนิยม มีโรงเรียนสอนเซิร์ฟด้วยนะคะ

อีกจุดท่องเที่ยวคือ  Statue of Virgin Mary บนหินกลางทะเลที่สามารถข้ามสะพานไปได้ค่ะ


Dune du Pilat

ใกล้ๆ Bordeaux มี Sand Dune ด้วยนะคะ ตรงนี้เราไม่ได้ไป แต่หลายคนบอกว่ามันใหญ่และน่าอัศจรรย์มากๆ อันนี้นัทนำภาพมาจาก Pixabay ค่า


ที่พักใน Bordeaux

นอกจาก Chateau de Camperos แล้ว ภายในเมือง Bordeaux ยังมีที่พักอีกหลากหลายมาก ตั้งแต่ถูกยันแพง

ซึ่งนัทเน้นสะดวก ก็พักตรงสถานีรถไฟเลยค่ะ ตรงนั้นมีทั้ง Mercure และ Ibis ลงจากรถไฟมา ข้ามถนนปุ๊ปเจอเลย ไม่ต้องลากกระเป๋าไกลๆ ค่ะ ส่วนเวลาไปเที่ยวในเมืองก็นั่งแทรมไปไม่กี่นาที ราคาจะอยู่ที่คืนละ 2000-4000 โดยประมาณค่า

Mercure Bordeaux Gare Atlantic >> ทางไปจอง

ibis Styles Bordeaux Gare Saint-Jean >> ทางไปจอง

หรือถ้าใครอยากช้อปปิ้ง เน้นกินไวน์แล้วเดินกลับใกล้ๆ ก็ไปพักกลางเมืองได้ค่ะ ถ้ามาหลายคน อยากซื้ออะไรมาทำกิน อยู่ชิลล์ๆ เหมือนบ้าน ก็เช่าอพาร์ทเม้นท์ แต่พวกโรงแรมเครือก็ง่ายดีค่ะ


หากใครชอบที่พักสไตล์ Chateau แบบนี้ นัทเคยไปที่ Burgundy ด้วยนะคะ ไปอ่านได้ที่

[เที่ยว Burgundy ฝรั่งเศส ตอนที่ 1] โร้ดทริปไร่ไวน์ ท่องหมู่บ้านเทพนิยายในแคว้นเบอร์กันดี

7 จุดถ่ายรูป กับ หอไอเฟล ในกรุงปารีส ที่จะทำให้คุณรู้สึกแบบปารีเซียงสุดๆ


สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!

หากชอบรีวิว อย่าลืมกดไลค์เพจ และ ติดตามไอจี @eatchillwander ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า

 



ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com

error: