[รีวิว] La Dame De Pic ห้องอาหารฝรั่งเศสจากเชฟหญิงในตำนาน ที่ Raffles สิงคโปร์
อาหารของเชฟ Anne-Sophie Pic เป็นหนึ่งในอาหารฝรั่งเศสที่เราชอบที่สุด ด้วยความละเอียดอ่อน มีความเฟมินีน ทำให้เราเป็นแฟนคลับของเชฟมาโดยตลอด ร้านหลักของ เชฟแอนโซฟี นั้น ตั้งอยู่ที่เมือง Valance ใน Rhone Valley และมีร้านลูกชื่อว่า La Dame De Pic ในปารีสและลอนดอน (เราชอบของสาขาปารีสมากกว่า) และ ในวันนี้ เราก็ไม่ต้องไปไกลขนาดนั้นอีกแล้ว เมื่อเชฟแอนโซฟี ส่งเชฟที่ทำงานด้วยกันมาเป็นสิบปี มาเปิดสาขาอยู่ใกล้ๆ เรา ที่สิงคโปร์
นอกจากจะเป็นเชฟระดับตำนานแล้ว สถานที่ที่ห้องอาหาร La Dame De Pic Singapore ตั้งอยู่ก็ตำนานเหมือนกันค่ะ ร้านตั้งอยู่ในโรงแรมเก่าแก่ชื่อดัง อย่างโรงแรม Raffles Singapore โรงแรมที่กลายเป็นแลนด์มาร์คของสิงคโปร์ไปแล้ว คลาสสิคสุดๆ
แม้จะเป็นโรงแรมเก่าแก่ แต่ด้านในรีโนเวตได้หรูหรามากกกกก เป็นบรรยากาศที่เข้าไปนั่งแล้วรู้สึกสุนทรีย์มากค่ะ เชฟแอนโซฟี เลือกเองทั้งการเลือกใช้สี จานชามอุปกรณ์ การตกแต่งจะเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างรูปโพธิ์ดำ ซึ่งเป็นความหมายของคำว่า PIC (นามสกุลเชฟ) ในภาษาฝรั่งเศสค่ะ
สำหรับเมนูที่เราเลือกในวันนี้ เราเลือกเป็น Set Lunch 2 คน สนนราคาอยู่ที่ 128 S$ ส่วนเราเลือกเป็น เมนูคอร์สสั้นที่สุดชื่อว่า Exploration ราคา 198 S$ ค่ะ
เริ่มจาก Amuse Bouche สุดแสนอลังการมากันถึง 5 คำ ซึ่งแต่ละคำค่อยๆ ไล่รสชาติเพื่อเป็นการเปิดต่อมรับรสของเราได้เป็นอย่างดี
ความเล่นใหญ่และ exclusive สุดๆ ของ Raffles Singapore เค้ามีแชมเปญจ์ที่ผลิตเป็น label เฉพาะของที่นี่ด้วยนะคะ จำนวน 3000 ขวดเท่านั้น
เป็นเนยที่รูปทรงสวยมาก ส่วนรสชาติก็ไม่ต้องพูดถึงค่ะ เชฟมาจากฝรั่งเศส ไม่พลาดอยู่แล้ว
คอร์สแรก
และนี่เป็นหนึ่งในจานที่เราตั้งใจสั่งคอร์สปกติที่ไม่ใช่ เซ็ทมื้อเที่ยง เพราะเราอยากกินจานซิกเนเจอร์ของเชฟ อย่าง Berlingots ซึ่งเป็นพาสต้าใส่ไส้ที่ทำเป็นรูปสามเหลี่ยมพีระมิด แม้ว่าจะดูเขียวๆ แต่ไม่มีอะไรเขียวเลยนะคะ เป็นจานที่นับว่าเหมาะแก่การเริ่มคอร์ส เป็นการใช้ชีสที่เข้มข้นแต่ออกมาเป็นจานที่ไม่หนักและไปทางรีเฟรชชิ่ง
ไส้ชีสที่เข้มข้นนั้น ประกอบไปด้วย ชีส Comte, Beaufort และ Bourgogne แต่เราว่าทีเด็ดคือตัว ซอส/น้ำซุปที่ราด ที่ทำมาจากมะเขือเทศพันธ์ Zebra Tomato มี Acidity ค่อนข้างเยอะ เลยมีความเปรี้ยวเฉพาะตัวตัด
อีกจุดเด่นคือการใช้ Herb of Grace ค่ะ (ภาษาไทยเรียก อีหรุด ค่ะ)
ส่วนคอร์สแรกจาก Lunch Set จะเป็น Farmed Hen’s Egg ไข่ลวกมาอย่างละมุนบนทาร์ท คนทำ pastry ที่นี่ต้องเก่งจริงๆ เพราะแป้งทาร์ทอร่อยมาก ตัวซอสกรีนพี จะเขียวๆ นิดนึง แล้วแต่คนชอบ แต่ทานรวมกันรสชาติกลมกล่อมดีค่ะ
คอร์สที่สอง จากเซ็ท Exploration ไป Wild Turbot Meuniere ที่ปรุงสุกได้อย่างพอดีที่สุด ความหวานเด้งของปลายังคงอยู่ ไม่ยุ่ย ไม่แข็ง รสชาติดีมาก ไม่คาวเลย ทานคู่กับ Zucchini ควบคู่กับ แอปเปิ้ลเขียว แกรนนี่สมิท ทั้งในรูปแบบของเจลและซอส เพิ่มความล้ำลึกของรสชาติด้วย Tarragon
ส่วนของเซ็ทลันช์จะไม่มีคอร์สนี้นะคะ ข้ามไปคอร์สถัดไปเลย
อีกหนึ่งทีเด็ดของที่นี่คือ เค้าไม่ได้มีแค่ไวน์แพริ่งนะ แต่เค้ามีสาเกแพริ่งด้วยจ้าาาา ซอมเป็นคนญี่ปุ่นเลย สาเกตัวนี้ ชื่อว่า Isojiman จาก Shizuoka ส่งให้รสชาติปลาหวานกลมกล่อมขึ้น
คอร์สถัดมาของเราเป็น Saga Wagyu Beef ค่ะ ดีงามมาก คือไร้ที่ติเลยล่ะ เป็นเนื้อย่างถ่าน มีกลิ่นหอมอยู่ ส่วนซอสเป็น Beef Jus และ บีทรูททำมาเป็นรูปกุหลาบสวยงาม ส่วนประกอบต่างๆ ในการ มันเข้าและส่งเสริมกันดีมากเลยค่ะ
ส่วนอันนี้เป็นของ Lunch Set ค่ะ สำหรับใครที่อยากลองทานปลา (ซึ่งมันเด็ดมาก) แล้วไม่อยากสั่งคอร์สใหญ่ ก็สั่งเซ็ทลันช์ได้เหมือนกันค่ะ เป็นปลา Brill จาก Brittany ทำ Meuniere มาเหมือนกัน เนื้อนุ่มเด้ง ตัวนี้จะมี เฟนเนล เก๊กฮวย รูบาร์บ และ ผักชีลาว(แต่ไม่ฉุนเลย)
ก่อนจะไปถึงของหวานสามารถสั่งชีสก่อนได้ค่ะ เราสั่งชีสทานง่ายๆ อย่าง บรี หรือ คอมเต้ ทีเด็ดของคอร์สชีสคือ พวกเครื่องเคียงค่ะ นำโดย เจลลี่เบียร์คาราเมล ซึ่งมันเข้ากับชีสมากๆ โดยไม่มี acidity แบบพวกผลไม้ไปกลบเลย เป็นออปชั่นที่ดีมากค่ะ ชีสมีความลึกขึ้นแบบรู้สึกได้เลย
ล้างปากกันก่อนค่ะ ตัวนี้ หน้าตาธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาเลยนะคะ เป็นเชอร์รี่ โฟมมิ้นท์ ไอศครีมมะกอก
จานนี้คือ มิลล์เฟรย ค่ะ เป็นอีกจานดังของเชฟแอนโซฟี เลเยอร์แป้งข้างในดีมากๆ แต่เราว่า รสชาติมันค่อนข้างเพลนสำหรับการทานทั้งจานไปนิดนึง เราไม่ใช่สายนี้ค่ะ
ส่วนนี่ ขนมในลันช์เซ็ท หน้าตาดีเกินเหตุไม่พอ เราชอบรสชาติมากๆ เป็น Pineapple and Chamomile ค่ะ ที่เห็นสีขาวๆ คือไอศครีมมะพร้าวกับเนื้อมะพร้าว มีสัปปะรดมาในหลายรูปแบบรวมถึงซอส และ แทรกด้วยครีมคาโมไมล์ ทุกอย่างเข้ากัน แต่ไม่เลี่ยนเลย อย่างสัปปะรดนี่แบบสร้างความโดดเด่นและสมดุลในจานได้เป็นอย่างดี
ปิดท้ายด้วย Petite Fours แบบจัดเต็มเช่นเคยค่ะ
มี ช๊อคโกแลตบอนบอนไส้คาลามันซี่ สีแดงๆ เป็นบ๊วย ปลื้มมากกกก แล้วก็แบล็กเคอเรนต์ช๊อคโกแลต และ ทาร์ทวอลนัทคาราเมลค่ะ
บรรยากาศการตกแต่ง ใส่ใจในรายละเอียด และ ดูมีความเป็นผู้หญิงสูงมากกกก สมกับเป็นเชฟหญิงคนแรกๆ ของโลกที่ได้รับรางวัลมิชลินสามดาว อันทรงเกียรติจริงๆ
อ่อ วันที่เรามาทาน ร้านเพิ่งเปิดได้ หนึ่งสัปดาห์ แต่มื้อเที่ยงเกือบเต็มค่ะ โหดมาก
ทีมงานที่นี่เก่งมากนะคะ บริการดีแบบเป็นเลิศเลยค่ะ เป๊ะมาก ไม่รู้ร้านเปิดทันประเมินมิชลินไกด์ สิงคโปร์ เล่มล่าสุดมั้ย เพราะถ้ามี inspector มา ยังไงก็ไม่น่าพลาดดาวแน่ๆ ค่ะ
หากใครหามื้อพิเศษๆ ในสิงคโปร์ ก็ไม่ควรพลาดค่ะ
ไปดูบรรยากาศรอบๆ โรงแรม Raffles Singapore กันบ้างค่ะ ในหลายๆ บทความของฝรั่งเค้ามักจะบอกว่า Raffles เป็นหนึ่งในที่ที่ต้องไปเวลาไปสิงคโปร์นะคะ แต่สิ่งที่ Raffles ดังมากๆ ก็คือเป็นผู้คิดค้นค๊อกเทล Singapore Sling เจ้าแรก ซึ่งบาร์ที่ทำ Singapore Sling จะอยู่ตรงบริเวณ Arcade ที่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามากค่ะ มีคาเฟ่และร้านขายของที่ระลึกแบบ สวยงามมากๆ
ห้องอาหาร La Dame de Pic
ตั้งอยู่ในโรงแรม Raffles Singapore ประเทศสิงคโปร์ เข้าล๊อบบี้ ทางเข้าฝั่ง Beach Road นะคะ
มื้อเที่ยง 12.00 ปิดรับออเดอร์ 14.00 น.
มื้อเย็น 19.00 ปิดรับออเดอร์ 21.30 น.
ปิดทุกวันอาทิตย์และจันทร์
สามารถจองออนไลน์ได้ที่นี่ค่ะ Click
Website : http://www.rafflessingapore.com/dining/la-dame-de-pic/