[เที่ยวคิวชู EP.1] ปลาหมึกซากะ กระดูกกัปปะ ช้อปปิ้งเซรามิกใบละล้านบาท! [Karatsu-Yobuko-Imari-Arita]
หากพูดถึงเกาะใหญ่ทางใต้สุดของประเทศญี่ปุ่นอย่าง เกาะคิวชู ทุกๆ คน คงจะนึกถึงแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง อย่าง Beppu, Yufuin, Nagasaki, Kumamoto หรือ Mt. Aso โชคดีที่รอบแรกที่มาคิวชู เราได้ไปแหล่งท่องเที่ยวพื้นฐานของคิวชูมาหมดแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่มาเกาะนี้ จึงได้เลือกแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นความสนใจเฉพาะทางของตัวเองมากขึ้น ดังนั้น รีวิวนี้ อาจจะไม่ได้เป็นแผนการเดินทางที่เหมาะสำหรับทุกคน แต่เราหวังว่า มันจะเป็นประโยชน์ให้หลายๆ คน ได้เห็นมุมอื่นๆ ของคิวชู และ ญี่ปุ่นมากขึ้นนะคะ
เราเริ่มการเดินทางที่ ฟุกูโอกะ เมืองใหญ่ที่สุดของคิวชู และในทริปนี้ เราเช่ารถขับตลอดทริปค่ะ ทริปนี้ เน้นความชอบ และ การกิน เป็นหลักค่ะ
แผนการเดินทางทริปนี้ เราไปยังเมือง Karatsu, Yobuko, Imari, Arita, Ureshino, Kashima, Yame และ Fukuoka ค่ะ เมืองทั้งหมดอยู่ใน 2 จังหวัดค่ะ คือ จังหวัดซากะ (Saga) และ จังหวัดฟูกุโอกะ (Fukuoka)
ไฮไลท์ในทริปนี้ของเรา ได้แก่
– ไปบ้านศิลปิน Pottery ซึ่งที่ Arita เป็นหมู่บ้านศิลปินเครื่องปั้นดินเผาที่โด่งดัง และ เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น สำหรับศิลปินท่านนี้ เราเจองานเค้าที่นิทรรศกาลในลอนดอนค่ะ มีถ้วยฝีมือเค้าอยู่ที่บ้านหลายใบ ไม่คิดเลยว่า เค้าจะใจดีมากๆ เปิดบ้านและสตูดิโอให้เราได้ลองทำ Pottery เล่น และจะเผาส่งกลับมาให้ที่ไทยด้วยค่ะ
– ไปเรียวกังในหมู่บ้านออนเซนค่ะ ความฟินของการพักที่นี่ นอกจากจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องผิวสวยแล้ว (ถึงขั้นมีศาลเจ้าให้ขอเรื่องผิวสวย) ยังมีของเด็ดอย่างเต้าหู้ต้มน้ำแร่ออนเซน ที่ทำให้คนไม่กินเต้าหู้อย่างเราติดใจมากๆ
– ไปชมตระกูล Pottery ใหญ่ๆ ซึ่งมีหลักๆ 3 ตระกูล แต่ละตระกูลจะมีโชว์เคสงานฝีมือ มีสไตล์ที่แตกต่างกันค่ะ และ ทุกๆ บ้าน จะมีห้องลับ ที่ให้คุณสามารถเข้าไปช้อป ถ้วยชาม ใบละ สี่แสนเยน ไปจนถึง หลายล้านเยน ได้ค่ะ
– ไปชมกระดูกกัปปะ ซึ่งที่ร้านเคลมว่า เค้าพบซากกัปปะตัวจริง เชื่อว่าใครที่ชอบญี่ปุ่นก็จะรู้จักสัตว์ในตำนานอย่าง กัปปะใช่มั้ยคะ กัปปะเป็นพรายน้ำ ที่กลางกระหม่อมจะเป็นหลุมค่ะ แล้วที่โรงสาเกแห่งนี้ เค้าก็เชื่อว่าเค้าพบกัปปะจริงๆ
– ไปเล่นกับเจ้าคาปิบาร่า คือเราเห็นรูปคาปิบาร่า แช่ออนเซนบ่อยมาก เลยอยากเล่นด้วย คราวนี้ได้เล่นสมใจ น้องน่ารักมากกกกก
– ไปเที่ยวไร่ชาและโรงงานชาค่ะ โปรแกรมนี้เกิดมาจากการที่เราเถียงกับแฟน เรื่องเกรดของมัชชะ และ มัชชะราคาแพง เค้าเลยพาเรามาทำมัชชะ (ไม่ใช่ชงนะคะ พามาบดใบชาให้เป็นผงมัชชะ) เราเลยได้ทราบว่า โหวววว ที่เราเห็นตามท้องตลาดคือแตกต่างมากจริงๆ แต่หมู่บ้านนี้วิวดีมาก บรรยากาศดีมากๆ เลยค่ะ
– งานกินก็จะมี กินปลาหมึก Ika no Ikizukuri ปลาหมึกเป็นๆ ที่ท่าเรือไดหมึก (จริงๆ คราวก่อนที่มาเคยกินที่ฟูกุโอกะ ก็ฟินมากๆ แล้ว ครั้งนี้ได้มาลองร้านเด็ดที่ท่าเรือ โหววววว ฟินมากค่ะ) กินโอมากาเสะสองดาวมิชลิน กินข้าวหน้าปลาไหลหนึ่งดาวมิชลิน กินเต้าหู้ต้มออนเซน กินยากิเคอรี่ และที่พลาดไม่ได้ เนื้อซากะ ค่ะ
– นอกจากนี้ก็จะมีแหล่งท่องเที่ยวไป พวกศาลเจ้า วัด ปราสาท ซึ่งพอจัดโปรแกรมแทรกกับอะไรที่เราสนใจ ทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อเลยค่ะ
เรื่องค่าใช้จ่าย ลองแพลนกันดูนะคะ เราว่าเที่ยวแบบนี้ ไม่แพงเท่าไหร่ ตกไม่ถึงคนละ สองหมื่น ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน ส่วนตั๋วเครื่องบินเราได้ตั๋วโปรของ Thai Lion Air เปิดรูท กรุงเทพ – ฟูกุโอกะ ค่ะ ไปอ่านรีวิวฉบับเต็มได้ คลิ๊กเลย
ที่เที่ยวส่วนใหญ่ไม่ได้เสียตังค์ค่ะ ที่แพงน่าจะเป็นที่พักเรียวกัง ตกคนละ สี่พันบาทต่อคืน แต่พอรวมอาหารเช้ากับเย็น ก็ถือว่าคุ้มมาก ส่วนที่อื่น กิจกรรมส่วนใหญ่ ฟรีนะคะ อย่างชมโรงงานชา ปั้นถ้วย สตูดิโอ Pottery กระดูกกัปปะ ไม่มีค่าเข้า แต่ส่วนใหญ่เค้าจะขายของ แล้วเราก็จะรู้สึกอยากซื้อเองค่ะ เป็นค่าช้อปปิ้งมากกว่า
Day 1 : Yobuko – Karatsu – Imari – Arita
Yobuko Morning Market
เกริ่นมามากแล้ว มาเที่ยววันแรกกันเลยค่ะ หลังจากที่รับรถเสร็จตอนเช้า เราก็ขับรถออกจาก Fukuoka มุ่งหน้าไปยังตลาดเช้า Yobuko ค่ะ ที่นี่เราตั้งใจที่จะมาทาน Ika no Ikizukuri หรือ ปลาหมึกที่ยังเป็นๆ อยู่ค่ะ
ปลาหมึกซากะนี่ดังมากนะคะ เวลาไปทานร้านซูชิดีๆ ถ้าถามว่าปลาหมึกอิกะมาจากไหน ก็หนีไม่พ้น ซากะ แน่นอนค่ะ
ตรงนี้จะเป็นฟีลเมืองท่าเรือไดหมึกค่ะ เสมือนเป็นระยองแห่งญี่ปุ่น ตรงตลาดเช้าก็จะมีพวกของทะเลสดมาให้ทาน ทั้งหอยสังค์ย่าง อุหนิสด หอยเป๋าฮื้อ ส่วนผลไม้เราว่าไปซื้อตามร้านที่ไม่ได้อยู่ในย่านทัวริสท์ก็จะถูกกว่าค่ะ อย่างงี้แหล่ะ พูดแบบคนมีรถ ฮ่าๆๆ
Kawatarou at Yobuko
ร้านที่เราด้านด้นมาโดน กับดีกรี Top5000 Tabelog ในเมืองเล็กๆ มันต้องเด็ดแน่ๆ ร้านนี้ชื่อว่า Kawatarou ค่ะ ติดโผลทุกสำนักกับการมา Yobuko ซึ่งเราตั้งใจมาทานเป็นมื้อเช้า มาตั้งแต่ร้านเปิดเลย ยังคิวไม่เยอะค่ะ ร้านใหญ่มาก แต่ตอนกลับออกมา คิวยาวแล้วค่ะ
ร้านนี้อยู่ริมทะเลเลย เลี้ยงปลาหมึกสดๆ และบั้งปลาหมึกได้สวยงามอลังการมากค่ะ
วิธีการทาน Ika No Ikizukuri เค้าจะนำปลาหมึกเป็นๆ ทั้งตัวมาแร่เป็นซาชิมิก่อน โดยเราอาจจะยังเห็นตัวหรือหนวดมันขยับอยู่นะคะ พอทานตรงที่เค้าแร่เสร็จ ก็จะนำที่เหลือไปทำเทมปุระ ซาชิมิหวานอร่อยมากๆ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เลือกกลับมาเที่ยวคิวชูอีกครั้งค่ะ โหดมาก มันกรุบ หวาน นัวไปหมด
อีกอย่างที่ร้านนี้เทพมากแบบเซอร์ไพรส์ คือ Ika Shumai ค่ะ เป็นเหมือนขนมจีบแต่นำตัวปลาหมึกมาสับแล้วห่อแทนแป้งอ่ะค่ะ เราเคยทานเมนูนี้อยู่ 3-4 ร้าน หลายๆ ที่ ที่นี่คือพีคมาก อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมาค่ะ
Karatsu Castle
ออกจากที่นี่เราขับรถย้อนกลับมายัง Karatsu ค่ะ เราขับผ่านไปตอนขาไปแล้ว แต่ด้วยความอยากมาตลาดเช้า แต่จะกินเที่ยงที่ร้านโอมากาเสะสองดาวมิชลิน เลยยอมย้อนไปย้อนมานิดนึง ถ้าใครไม่ได้มีติดเรื่องต้องทานร้านโน้นร้านนี้ ก็สามารถแวะ Karatsu ก่อน แล้วค่อยไป Yobuko ก็จะไม่ย้อนค่ะ
Karatsu มีร้านอาหารเยอะมาก ทั้งที่ได้มิชลินสตาร์ และ รางวัล Tabelog มีร้านโอมากาเสะเต้าหู้ในตำนาน ที่เราจัดเวลาไม่ลงเลยอดไปค่ะ
ขับมาถึง Karatsu เราแวะเที่ยวปราสาทกันก่อน แม้ว่าจะเป็นเกาะทางใต้ แต่อากาศหนาวมากนะคะ ช่วงที่ไป
จากนั้น เราจึงขับรถไปร้านเครื่องปั้นดินเผาใกล้ๆ ค่ะ ในจังหวัดซากะ จะมีของขึ้นชื่อคือเครื่องปั้นดินเผาค่ะ ซึ่งได้ภูมิปัญญามาจากเกาหลี ขนศิลปินลงเรือข้ามเกาะกันมาตั้งรกรากที่นี่
แล้วก็จะมีบ้านศิลปินตระกูลใหญ่ๆ อยู่ ซึ่งหลักๆ จะอยู่ที่ Arita ค่ะ แต่ใน คาราซึ ก็มีนะคะ อย่างบ้านนี้ที่เราไป แค่ไปดูบ้านกับสวนก็สวยแล้วค่ะ บ้านแบบนี้ ห้องแรกจะขายเครื่องปั้นดินเผาทั่วไปค่ะ ราคาหลักพัน แต่หากเราเป็นลูกค้าที่รู้จักหรือสนใจ ก็จะสามารถไปต่ออีกห้องได้ค่ะ ซึ่งห้องนี้จะเป็นที่เก็บงานหลักแสน – ล้านเยนค่ะ
แฟนเราเป็นคนเล่นพวก pottery ถ้วยชา เค้าก็จะอินมากค่ะ เห็นปกติชอบไปประมูลอะไรมาไม่รู้ เราดูไม่เป็นก็จะไม่เข้าใจว่าทำไมมันแพง อย่างว่านะคะ ความสนใจแต่ละคนไม่เหมือนกัน ยิ่งงานศิลปะยิ่งประเมินมูลค่าไม่เหมือนกัน แต่ที่รู้ๆ คือรู้ชะตากรรมเลย ว่าชั้นจะต้องมาเจอการไปนั่งพิจารณาถ้วยชาของคุณเค้าในทุกบ้านศิลปินที่ไปในทริปนี้ (เหมือนโดนเอาคืนเวลาเค้ารอเราช้อปปิ้งอ่ะค่ะ ฮืออออออออ ผิดไปแล้วจ้าาาา)
Sushi Tsukuta
พอถึงบ่ายโมง เราก็มาที่ร้าน Sushi Tsukuta ตามที่จองไว้ค่ะ ร้านนี้เป็นร้าน โอมากาเสะที่ได้รับรางวัล มิชลินสตาร์ 2 ดาว และ เหรียญเงิน ใน Tabelog ค่ะ ราคาถือว่าค่อนข้างถูก สำหรับมื้อกลางวัน มีคอร์ส 6000Yen และ 9000Yen ให้เลือกค่ะ เราโทรไปจองจากไทย ทางร้านพอพูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ Website : http://tsukuta.9syoku.com/
เราแอบสังเกตว่า ร้านซูชิโอมากาเสะแบบนี้ เวลาอยู่นอกเมืองใหญ่ๆ ความพิถีพิถันจะไม่เท่าในโตเกียวค่ะ พออยู่ต่างจังหวัดจะมีความท้องถิ่นมากขึ้น (หลายร้านแล้วนะคะ) ซึ่งก็จะไม่ได้ฟีลแบบ โอมากาเสะหรูๆ (ราคาก็ต่างกันสามเท่าอ่ะนะคะ) แล้วก็สังเกตได้ว่า บางที ของที่ดีที่สุดถูกส่งไปโตเกียวแล้ว ร้านตามต่างจังหวัดจะมีของสดจากท้องถิ่น แต่อาจจะไม่ใช่ตัวใหญ่ที่สุด หรือ แพงที่สุดค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น เราแฮปปี้มากๆ ค่ะ กับ โอมากาเสะราคา 6000 Yen แล้วได้ขนาดนี้ ไม่มีปัญหาอะไรเลยค่ะ ของสด รสข้าวโอเค (ร้านนี้ค่อนข้างเค็มและรสข้าวจัด) ไอเท็มหลากหลายทั้ง Shellfish และ ปลา รสชาติของซูชิ ดีมากทุกคำเลยค่ะ ขนาด Hotate ยังบั้งอร่อยกว่าปกติ เชฟเก่งมากค่ะ คุรุมะเอบิใหญ่มากกกก
Okawachiyama
จากนั้นเราขับรถมุ่งหน้าไปยัง Imari กันต่อค่ะ อีกหนึ่งหมู่บ้านเล็กๆ ที่พบ Clay สำหรับทำ Porcelain ทำให้ญี่ปุ่นขนช่างฝีมือจากเกาหลีมาทำ Pottery กันที่นี่ค่ะ
แค่ได้มาเดินเล่นที่หมู่บ้าน ก็บรรยากาศดีมากๆ แล้วนะคะ ตามทางจะมีเตาเผา (Kiln) แบบโบราณอยู่ประปราย แล้วก็ในหมู่บ้านนี้เป็นร้าน เซรามิคเกือบหมดเลยค่ะ ศิลปินแต่ละบ้านก็จะมีแนวทางเป็นของตัวเอง
เป็นหมู่บ้านที่แค่แวะมาเดินเล่น ก็รู้สึกดีแล้วนะคะ ด้วยความที่อยู่กลางหุบเขา อากาศดีมากๆ
Kappa Sake
โรงสาเกในเมือง Imari ที่เชื่อว่า กัปปะ มีอยู่จริง!!
เชื่อกันว่า ที่นี่เป็นที่ที่พบซากกระดูกของกัปปะ พรายน้ำในตำนานของญี่ปุ่น (ถ้าใครอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นตอนเด็กๆ ก็น่าจะมีภาพจำคล้ายๆ เราคือ กัปปะชอบกินแตงกวา ตรงกลางกระโหลกจะบุ๋มและมีน้ำอยู่ ถ้าอยากให้กัปปะตาย ต้องหลอกให้กัปปะโค้งเพื่อให้น้ำตรงกลางศีรษะหายไป แล้วกัปปะจะตาย)
ตัวโรงสาเกเองก็จะจัดของสะสมเกี่ยวกับกัปปะเต็มไปหมดเลยค่ะ เป็นฟีลเก็บของเยอะๆ ดูวินเทจๆ หน่อย ไม่เสียค่าเข้าชมนะคะ
สามารถมา Sake Tasting ได้ค่ะ ส่วนใหญ่ก็คงจะซื้อของติดไม้ติดมือกลับบ้านกัน เหล้าบ๊วยอร่อยมากเลย ขอแนะนำค่ะ
ด้านในสุดจะเป็นที่เก็บกระดูกกัปปะค่ะ ทำให้ทางเจ้าของมีความเชื่อว่ามีอยู่จริง และทำการบูชาไว้ค่ะ สามารถเข้ามาดูได้นะคะ
สาเกทุกขวดลองชิมได้ค่ะ แต่ที่นี่เหล้าบ๊วยจริงๆ คิดว่าเพราะใช้สาเกหมัก เลยลื่นมาก
Gen-emon Kiln
เราเริ่มเข้ามาในเขต Arita แล้วค่ะ ที่นี่คือ Kiln เก่าแก่ที่สุดใน Arita และเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของที่นี่
บ้านเค้าสวยมากเลยค่ะ เป็นบ้านแบบ Traditional ญี่ปุ่น สวนสวยมากๆ
ภายในจะมีส่วนที่เป็นร้านค้า ซึ่งก็จะมีเซรามิคตั้งแต่ราคาหลักพัน ไป จนถึงหลักล้านบาท ที่นี่สามารถเข้าชมช่างฝีมือทำงานได้ตลอดเวลาที่เปิด โดยเราจะได้เห็นการทำงานตั้งแต่การปั้น การวาดลาย และชมเตาเผาเซรามิค ตรงนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายนะคะ
Tozan Shrine
เริ่มเย็นแล้วค่ะ เราขับรถเข้ามาที่ Arita เพื่อมาชม Tozan Shrine ศาลเจ้าแห่งนี้ อยู่ติดรางรถไฟเลยค่ะ แปลกๆ ดี บรรยากาศดีนะคะ
เมื่อขึ้นไปข้างบน ตัวเสาโทริอิจะเป็นเสาเซรามิคค่ะ งดงามเป็นเอกลักษณ์แปลกตา
ถือว่าเป็นศาลเจ้าที่ควรค่าแก่การมาแวะชมทีเดียวค่ะ
Gallery Arita
ร้านนี้ไม่ว่าจะสายคาเฟ่ฮอปปิ้ง หรือ สายสะสมถ้วยชาม ก็ต้องมาค่ะ แนะนำมากๆ และ เราชอบคอนเซปท์ของที่นี่มาก
Gallery Arita ได้รวบรวมงานของศิลปินทั้งหมู่บ้านไว้ในที่เดียว ที่นี่จะทำให้เราเห็นว่า Pottery ของที่นี่มีดีไซน์แตกต่างกันออกไปอย่างหลากหลาย และก็มีถ้วยหลายใบที่เราเห็นแล้วรู้จักศิลปินเนื่องจากถือว่าเป็นที่ยอมรับค่อนข้างกว้างขวางในหมู่คนที่สนใจ (มันอารมณ์เหมือนเวลาเห็นถ้วย wedgewood ก็จะรู้เลยอะไรประมาณนั้นน่ะค่ะ)
ความเจ๋งของคาเฟ่แห่งนี้คือ เราสามารถเลือกได้ว่าจะใช้แก้วกาแฟใบไหน เสมือนให้เราได้ลองใช้ถ้วยชามพวกนี้จริงๆ
ถ้วยก็จะมีให้เลือกหลากหลายนะคะ ส่วนเราก็จิ้มมาใบที่คิดว่าสวยมาใบนึง เหมือนหวยออก พนักงานตกใจ พยายามสื่อสารว่า ใบนี้แพงที่สุดในร้านเลยนะคะ ต้องระวังนิดนึงนะคะ เกร็งเลยค่ะ
ใบนี้ที่เราเลือกค่ะ น่าจะหลายหมื่นเยนอยู่ค่ะ สวยดีนะคะ อยากได้ขึ้นมาเลย
ทีเด็ดที่อยากให้ทุกคนสั่ง คือ เต้าหู้คินาโกะ อันนี้ เราสั่งมาเล่นๆ เพราะอยากทานขนมหวาน แต่มันดีมากกกกก แบบมากๆๆ เต้าหู้เนื้อเหนียวนิดนึง กินแล้วเหมือนเยลลี่ แต่มันหอม แล้วก็ทานรวมกันแล้วพอดีมากเลยค่ะ
ใบนี้ตอนแรกก็ชอบ แต่พอเอามาใช้แล้วไม่ค่อยชอบผิวสัมผัสเท่าไหร่ ที่สัมผัสตรงปากเท่าไหร่ นี่น่าจะเป็นข้อดีของการได้ลองใช้ก่อนนะคะ
จากนั้นเราก็ไปหาอะไรกินในร้านสะดวกซื้อค่ะ ร้านใหญ่ๆ เพียบ ขับรถแวะได้เลย
เราพักกันที่ Keramiek Arita เป็นเหมือนเกสท์เฮ้าส์อารมณ์ Airbnb เจ้าของเป็นคนดัชท์ น่ารักมากๆ ไนซ์มากค่ะ ให้การช่วยเหลือทุกอย่าง ใช้บ้านเค้าได้ทุกอย่างเลย ห้องน้ำใช้รวมกันค่ะ แต่มันอารมณ์เหมือนอยู่บ้านเลยค่ะ ที่สำคัญ ราคาไม่แพงมาก เพราะแถวๆ นี้ ทั้งImari และ Arita มีโรงแรมประมาณ 3 โรงแรมเท่านั้นค่ะ
ดูเพิ่มเติมได้ Click Here!
สำหรับตอนหน้า เราจะพาไปเที่ยวบ้านศิลปินท่านนึง ที่เราชื่นชอบงานเค้าค่ะ แล้วก็จะพาไปปราสาทหน้าตายุโรปสวยงามที่ลงรูปแล้วคนงงว่าอยู่ญี่ปุ่นหรอ แล้วก็พาไปออนเซน และ ศาลเจ้าที่เก่าแก่ของจังหวัดซากะ ค่ะ
อ่านตอนถัดไป คลิ๊กที่นี่ได้เลย!
หากชอบรีวิว ช่วยกดไลค์เพจเป็นกำลังใจให้หน่อยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า