ไปย้อนยุคแบบชิคๆที่ Havana, Cuba กันเถอะ เราไปคนเดียวมาแล้ว [ตอนที่ 1]

รถคลาสสิคอเมริกัน ตึกสีหวาน เหล้ารัม สโลว์ไลฟ์ และอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญ “ถ้าไม่รีบไปตอนนี้ เดี๋ยวมันอาจจะไม่เป็นแบบนี้อีกแล้วนะ” นั่นเป็นเหตุผลที่เราตัดสินใจไปเที่ยว Havana ประเทศคิวบาด้วยตัวเอง

แม้ว่าเท่าที่ไปสัมผัสมา เราคิดว่ามันคงดูย้อนยุคๆแบบนี้ไปอีกพักใหญ่ๆเลยล่ะ ทั้งนโยบายจากทรัมป์ และจากรัฐบาลของคิวบาเอง มันคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้เร็วขนาดนั้น แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ดีใจมากที่ตัดสินใจมาเที่ยวที่นี่ เพราะที่นี่ทำให้เราได้เรียนรู้หลายๆแง่มุมของชีวิตแบบที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน

แง่มุมที่ว่านี้ มันคือการได้ไปในที่ที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต ของแบรนด์เนมอาจจะไม่มีค่า ที่นี่เราจะได้ย้อนยุคและไปสัมผัสกับชีวิตแบบสังคมนิยม ที่ที่เราคิดว่า เราสามารถเชื่อมต่อกับผู้คนได้มากกว่าสังคมก้มหน้าทั้งๆที่พูดภาษาสแปนิชไม่ได้ซักนิด แถมยังไม่มีกูเกิ้ลทรานสเลทอีกต่างหาก

ที่ที่เราได้ใช้ใจกับแผนที่หนึ่งอันในการเดินทางจริงๆ

เราจึงรู้สึกว่า การตัดสินใจไปเที่ยวคิวบาคนเดียว เป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีมากๆครั้งหนึ่งในชีวิตเลยล่ะ


ข้อมูลเบื้องต้น

– ประเทศคิวบา เป็นเกาะอยู่ในทะเลคาริบเบียน ทวีปอเมริกากลาง หากจะเที่ยวทั่วประเทศจากตะวันตกไปถึงตะวันออก อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะอยู่แถวๆเมืองหลวงอย่าง Havana, เมืองธรรมชาติอย่าง Viñales, เมือง Trinidad และเที่ยวทะเลแถว Varadero ซึ่งสามารถแพลนใน 5-7 วันได้เช่นกัน

– ค่าเงินที่นี่มี 2 สกุล คือ CUC และ CUP นักท่องเที่ยวสามารถถือได้แค่สกุล CUC เท่านั้น ซึ่งไม่มีให้แลกที่อื่น มีแค่ในคิวบา ค่าเงิน 1 CUC จะเท่ากับ 1 USD เสมอ (นำเงินสกุลใหญ่ๆไปแลกได้ แต่ค่าแลกเปลี่ยนก็จะเป็นค่าเงินสกุลนั้นกับดอลล่าสหรัฐ ก็ลองดูว่าตอนนั้นสกุลอะไรถูกกว่าสำหรับเงินบาท)

– เวลาแลกเงิน ควรแลกให้พอดี ใช้ให้หมด เพราะแลกคืนไม่คุ้ม แม้จะบอกว่า 1 CUC = 1 USD แต่ในความเป็นจริงจะมีค่าคอมมิชชั่นและค่าบริการแลกเงิน ก็จะตกประมาณ 1 USD ได้มา 0.9 CUC อะไรประมาณนั้น

– ที่นี่ใช้ภาษาสเปนเป็นหลัก แทบไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้เลย จะได้ก็แค่ตามตลาดของฝากหรือร้านอาหารที่นักท่องเที่ยวไปเยอะๆเท่านั้น ช่วงที่เราไปนักท่องเที่ยวที่เจอส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกัน

– หลายคนถามมาเรื่องความปลอดภัย ส่วนตัวเรารู้สึกว่าคนที่นี่น่ารัก เราเดินเล่นใน Old Havana แล้วก็แถวๆที่พักย่านด้านหลังตึก El Capitolio ทุกวัน ถึงตอนค่ำๆก็ยังรู้สึกโอเค คนมองและพยายามเข้ามาพูดคุยทักทาย (อาจจะเพราะแต่งตัวประหลาด 555) แต่ไม่มีอะไร หลักๆคงแนะนำให้ระวังตัวตามคอมมอนเซนส์ปกติค่ะ

– อากาศที่นี่ประมาณเมืองไทยเลยค่ะ ร้อนๆ ช่วง พย.-มีค. ก็น่าจะร้อนน้อยหน่อย ส่วนเราไปผิดฤดูนะคะ ไปตอนเฮอร์ริเคนเข้า เดือนกันยายนค่ะ เสียใจมากๆ เราถึงคิวบา 2 วัน หลัง Hurricane Irma เข้า จึงทำให้แผนเกือบล่ม ไม่ได้ไปดำน้ำเลยค่ะ

– อินเตอร์เน็ตที่นี่ ทุกคนต้องซื้อ Internet Card เป็นรายชั่วโมงค่ะ แม้แต่ชาวคิวบันเองก็ต้องซื้อแบบนี้ ที่ร้านมือถือคนจะต่อแถวรอซื้อยาวมาก เราแนะนำให้ไปซื้อที่ล๊อบบี้โรงแรมค่ะ แต่ก็จะมีข้อเสียอีกคือ บางโรงแรมจะต้องใช้ Internet Card ที่ซื้อกับที่โรงแรมนั้นๆเท่านั้น

– อย่างเรา ซื้อ Internet Card ที่ โรงแรม La Florida แต่ใช้ Wifi ที่ Hotel Santa Isabel, Hotel Iglaterra, ร้าน La Floridita และ ที่สนามบินได้ ส่วน โรงแรม Saratoga กับ Hotel Nacional เราใช้การ์ดนี้ไม่ได้… เวลาใช้ wifi โรงแรม บางทีเราก็ไปยืนอยู่ริมถนนหน้าโรงแรมนะคะ ไม่ได้เข้าไป หรือลองดูที่ที่คนคิวบาก้มหน้าดูมือถือเยอะๆ ก็จะมี wifi แถวนั้นค่ะ

– เนื่องจากไม่มีอินเตอร์เน็ต อย่าลืมโหลดโปรแกรมแปลภาษา กับ กูเกิ้ลแมพแบบออฟไลน์ไว้นะคะ ไม่งั้นจะได้ปล่อยไปตามหัวใจแบบเรา มั่วสุดทาง


วีซ่าคิวบา

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวประเทศคิวบา จะมีสิ่งที่เรียกว่า Tourist Card ค่ะ หน้าที่ของมันก็คือวีซ่านั่นแหล่ะ แต่จะเป็นวีซ่าที่ ให้มาเป็นใบเหมือนใบขาเข้า ขาออก แล้วกรอกข้อมูลเอง

เนื่องจากเราเดินทางไปเที่ยวประเทศสหรัฐอเมริกาก่อน แล้วจึงบินไป Havana ทำให้เราไม่ต้องซื้อหรือขอ Tourist Card ล่วงหน้านะคะ เราสามารถซื้อที่เคานเตอร์เช็คอินของสายการบิน ตอนที่เราไปเช็คอินได้เลย ในเว็ปของสายการบินก็บอกไว้อย่างนั้น

สำหรับ Tourist Card ที่สายการบินขายให้เรา ราคา 50$ สามารถอยู่ในคิวบาได้ 30 วัน

แต่ถ้าเดินทางจากประเทศอื่นๆ ให้ลองเช็คกับทางสายการบินก่อนนะคะ ส่วนถ้าเดินทางจากประเทศไทย ก็ไปขอวีซ่า/Tourist Card ไว้ก่อนก็ได้ค่ะ

สถานทูตคิวบาประจำประเทศไทย
เมลาแมนชั่น 3C, 5 ซอย 27, ถนนสุขุมวิท, คลองเตยเหนือ, กรุงเทพฯ
โทรศัพท์: 02-665-2803
เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 10.00-12.00 น. และ 14.00-16.00 น.

เอกสารที่ต้องใช้
1. หนังสือเดินทางพร้อมสำเนา
2. ตั๋วเครื่องบินไปกลับ
3. ใบจองโรงแรม
4. ประกันการเดินทางที่ครอบคุมประเทศคิวบา (อันนี้ เราไม่ได้ใช้ที่สนามบินนะคะ รู้สึกว่า ถ้าจองตั๋วเครื่องบินกับสายการบินในอเมริกา เค้าจะรวมประกันการเดินทางในคิวบาให้อยู่แล้วค่ะ)
5. รูปถ่าย 2 นิ้ว 1 รูป
6. ค่าธรรมเนียม 675 บาท
7. ใบมอบอำนาจหากให้ผู้อื่นยื่นแทน (ค่าธรรมเนียม 1800 บาท)

ใช้เวลาดำเนินการ 7-14 วัน


วิธีการเดินทาง : สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!

จริงๆแล้วมีไฟลท์มาลง Havana ค่อนข้างเยอะทั้งจากอเมริกา และ ยุโรป นั่นหมายความว่า เราสามารถหา Connecting Flights ได้ค่ะ

ส่วนตัวเราบินเข้าออก Havana จากประเทศสหรัฐอเมริกา ก็จะต้องมีวีซ่าอเมริกานะคะ สายการบินที่ให้บริการก็จะมี Delta, United, JetBlue, Southwest แล้วก็ American Airlines

หากเดินทางจากอเมริกาตามนโยบายของทรัมป์เราต้อง declare ตัวเองว่าไปทำอะไรที่คิวบา ซึ่งต้นเหตุคือ สหรัฐไม่สามารถสนับสนุนประเทศคอมมิวนิสท์อย่างคิวบาได้ ดังนั้น เค้าจะให้เซ็นต์ว่าการไปคิวบาเนี่ย คุณไม่ได้ไปสนับสนุนรัฐบาลทหารนะ (มันมีเหตุผลให้เลือกได้ 13 ข้อค่ะ ส่วนใหญ่จะเป็นทางธุรกิจหรืออาชีพแบบนักข่าว แพทย์ฯลฯ ของเราสามารถเลือก support for Cuban People ได้เลยค่ะ) ซึ่งตรงนี้เรียกว่า General License แต่กับเราที่ไม่ใช่ American Citizen อ่ะค่ะ เค้าไม่ได้เข้มงวดมาก ก็แค่เซ็นต์ชื่อในเอกสารค่ะ (ตอนเราจอง มันจะถามขึ้นมา ก็กดไป ไม่ต้องตกใจ ไม่มีปัญหากับการเข้าอเมริกาทีหลังค่ะ)

เราเดินทางจากไมอามี่ เข้า ฮาวาน่า และ กลับจาก ฮาวาน่า เข้า JFK นิวยอร์กนะคะ ไม่มีปัญหาเรื่องการตรวจคนเข้าเมืองใดๆค่ะ ตม.ที่นิวยอร์กยังแซวอยู่เลยว่า ดื่มรัมไปเยอะมั้ย?

*สาระ* จริงๆ คิวบากับไมอามี่นี่ใกล้กันมากๆเลยนะ แต่เนื่องจากต้องป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกม. เลยไม่มีเรือวิ่ง จะมีก็มีแต่เรือสำราญลำใหญ่ๆที่มาจอดเทียบท่าที่ Havana ทุกวัน ส่วนการประมงก็ใช้วิธีตกปลาเป็นหลัก มีกม.ชัดเจนว่าห้ามชาวคิวบาขึ้นเรือเด็ดขาด

เราเดินทางจากไมอามี่เข้าสู่สนามบิน Havana ที่มีชื่อว่า Jose Marti International Airport เป็นสนามบินเล็กๆ ซึ่งประเทศนี้ ห้ามนำโดรนเข้าประเทศอย่างเด็ดขาด ทำให้เราได้พบกับความทำงานช้าของพนักงาน ที่จะต้องนำโดรนเราไปเก็บ แล้วให้มารับตอนขาออกประเทศ

// จริงๆมีอีกวิธีที่ง่ายและน่าสนใจ คือ ล่องเรือสำราญ Cruise ออกมาจากไมอามี่ค่ะ โดยเค้าจะมีรูท ไมอามี่-บาฮามัส-ฮาวาน่า ออกกันอยู่บ่อยๆ วิธีนี้เราเข้าใจว่า ลงจากเรือไม่เกิน 24 ชั่วโมง ไม่ต้องใช้วีซ่านะคะ ซึ่งเป็นวิธีที่เราดูๆไว้ แต่ไปคนเดียวไม่ได้ เพราะ ค่า Cruise คนเดียว เค้ามักจะคิดราคาเท่าๆกับ 2 คนทุกที่เลยค่ะ

สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!


ค่าใช้จ่าย

ค่าตั๋วเครื่องบิน(Miami-Havana, Havana-JFK สายการบิน Delta Airline)  179$
ค่าวีซ่า (Tourist Card ซื้อที่เคานเตอร์เช็คอินสนามบินไมอามี่) 50$
Taxi ไปกลับสนามบิน เที่ยวละ 20$
ที่พัก Airbnb (เราเดินทางคนเดียวเลยเน้นประหยัด) คืนละ 22$
One day tour 99$

ค่าอินเตอร์เน็ต ชั่วโมงละ 4-8$

ค่าอาหาร Sandwich/Pizza 2-3$
อาหารพวกปลาหรือไก่ 7-10$
ค๊อกเทล บาร์ทั่วไป 2-3$
ค๊อกเทล บาร์โรงแรมหรู 5-6$
กาแฟ 1-2 $
น้ำ, น้ำอัดลม 1$

ตีเป็นเงินดอลล่าสหรัฐไว้ให้นะคะ 🙂


ที่พัก

อย่างที่บอกว่า เรื่องที่พัก เราเลือกราคาสำหรับพักคนเดียวแบบประหยัด แต่ใน Airbnb มีออปชั่นเยอะมากๆ เลยอยากให้ลองเข้าไปเลือกทั้งดีไซน์ และบัทเจ็ท ของตัวเอง สามารถอ่านรีวิวคนที่เคยไปพัก แต่ละที่ได้ หรือจะจองผ่าน Booking.com ก็ได้ค่ะ คลิ๊กได้เลย


แผนการเดินทาง

ตอนแรกเราจะมา 7 วัน โดยไปเที่ยวเมือง Trinidad, Vinales และ อยากไปดำน้ำสกูบ้าแถวๆ Cayo Coco หรือ Cayo Largo ซึ่งต้องบินในประเทศไป แต่ปรากฎว่า Hurricane Irma เฮอร์ริเคนลูกใหญ่สุดๆรอบกี่ปีไม่รู้ พัดเข้าตั้งแต่หมู่เกาะเล็กๆในแคริบเบียน ไปจนถึงรัฐฟลอริด้า เลยทำให้แผนล่ม

Delta Airline ให้เราเปลี่ยนตั๋วเครื่องบินได้เฉพาะเหตุที่เกี่ยวกับเฮอร์ริเคน เราเลยเปลี่ยนตั๋วเหลือ 3 วันและเที่ยวเฉพาะในกรุงฮาวาน่าเท่านั้นค่ะ ทริปนี้เลยกลายเป็นเหมือน side trip ออกมาจากการไปเที่ยว ฟลอริด้าและนิวยอร์คไปโดยปริยาย

ทำให้เราไม่ได้มีแผนการเดินทางในฮาวาน่าที่ละเอียด ส่วนใหญ่เป็นการเดินเล่นชิวๆ หาร้านนั่ง เดินดูผู้คน ร้านค้า ไปเรื่อยๆค่ะ





Day 1 : Getting to know Havana

เรานัดให้โฮสท์ Airbnb มารับที่สนามบิน โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม มาถึงปุ๊ป เค้าก็จัดรถคลาสสิคอเมริกันมารับเราเลยค่ะ

นี่คือภาพแรกที่เราได้เห็นหลังจากเลี้ยวออกมาจากสนามบิน

และนั่นคือ สเน่ห์ของที่นี่ ความคลาสสิคของที่นี่เป็นความวินเทจที่มีอายุเก่าจริงๆ ไม่ใช่ของใหม่ที่ทำให้เก่า ที่นี่ได้แบนนโยบายเทรดสินค้ากับสหรัฐไปหลายสิบปี ทำให้รถยนต์ที่เห็นเป็นรถคลาสสิคอเมริกันที่อยู่กันมาตั้งแต่ยุค 1950s ซึ่งเจ้าของเค้าก็จะมาแนะนำให้เราอย่างภาคภูมิใจว่า รถเค้าชื่อรุ่นอะไร มาจากปีไหน และทุกคนก็จะพูดเสมอว่า เครื่องยนต์ออริจินอลด้วยนะ

ขับมาซักพัก เราก็จะเริ่มเห็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของที่นี่อยู่ไกลๆ นั่นก็คือ อนุสาวรีย์ Jose Marti หนึ่งในคนสำคัญของการปฏิวัติคิวบา

เราได้นั่งรถผ่าน มหาวิทยาลัยฮาวาน่า Universidad de La Habana ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่แถวๆ Passeo De Marti ซึ่งเป็นที่พักของเราในค่ำคืนนี้ค่ะ

เมื่อเก็บของเรียบร้อย ทางโฮสท์ก็ทำอาหารมื้อเที่ยงให้เราทานเพราะเห็นว่าเราเพิ่งมาถึง หลังจากนั้นเราก็พร้อมสำหรับการออกไปเดินสำรวจ Havana กันในวันนี้ค่ะ

Old Havana (Habana Vieja)

เราเซฟรูปแผนที่นี้ไว้บนมือถือ จากนั้นก็เริ่มเดินมั่ว แบบมั่วจริงๆนะคะ มันไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีกูเกิ้ลแมพ ไม่มีกูเกิ้ลทรานสเลทเลย แต่ด้วยความที่ผังเมืองเป็นกริด ทำให้เดินได้สบายๆ เราเดินจากบ้านที่อยู่เลย El Capitolio ไปด้านหลังอีกประมาณ 3 บล๊อก ผ่าน เมืองเก่าฮาวาน่า ไปถึงท่าเรือได้สบายๆ แต่เพราะเดินซอกแซกๆก็น่าจะเกือบสิบกิโลอยู่เหมือนกัน

เราเดินมาตั้งหลักที่ Central Park ซึ่งถือเป็นจัตุรัสหลักของเมือง เป็นลานกว้างที่มีโรงแรมหรูอยู่รอบๆ ตรงนี้จะมีตึกสวยๆและรถคลาสสิคอยู่เต็มไปหมด อย่างตอนนี้ก็จะมีโรงแรม Kempinski ที่เพิ่งมาเปิดใหม่

ด้านหลังเป็นตึก El Capitolio ที่ได้รับรูปแบบมาจากตึก Capitol ที่ Washington DC เป็นตึกประมาณอาคารรัฐสภาของประเทศ

ด้านหลังของตึก El Capitolio จะมีร้านซิการ์ที่เสมือนเป็นมิวเซียมเล็กๆในเราไปชมได้ ส่วนฝั่งตรงข้ามของ El Capitolio ก็จะมีตึกหน้าตาสวยงามแบบนี้ค่ะ

จาก Central Park เราเดินมุ่งหน้ามาทางถนน Obispo ที่เป็นถนนคนเดิน ตรงนี้มีทั้งธนาคาร ร้านขายมือถือ โรงเรียน เราเข้าไปแลกเงินเพิ่มที่ธนาคาร ตอนแรกจะซื้อ Internet Card แถวนี้แต่คิวยาวมาก จึงไปซื้อที่โรงแรม Hotel Florida

จากเซ็นทรัลปาร์คหันหน้ามาทางนี้ จะเป็นทางเดินไป Old Havana ค่ะ

 

ล๊อบบี้โรงแรม Florida ที่เรามากินกาแฟและใช้อินเตอร์เน็ต

เนื่องจากเราค้นพบว่า สื่อสารค่อนข้างลำบากเนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่พูดภาษาอังกฤษเลย ทำให้เราตัดสินใจจองทัวร์สำหรับวันรุ่งขึ้นค่ะ โดยเราจองทัวร์แบบ One Day Tour ผ่านบริษัทนี้ค่ะ https://havanatourcompany.com/

เดินมาเรื่อยๆก็จะเจอสัญลักษณ์หลายๆอย่างของคิวบาค่ะ อย่างเช่น วง Mariachi วงดนตรีเพลงละตินที่เราเจอได้ทั่วไป หรือ คุณป้าสูบซิการ์ แต่งตัวแบบท้องถิ่น ซึ่งจริงๆแล้วการแต่งตัวสีสดๆ ประดับดอกไม้ และ โพกหัว ก็มักจะถูกทำเวลาเค้าออกมาสังสรรค์ เล่นดนตรี เต้นซัลซ่ากันจริงๆนะคะ

แต่สำหรับแหล่งท่องเที่ยวแบบนี้ เค้าแต่งมาให้ถ่ายรูป เราต้องให้ทิปเค้าด้วยค่ะ

เราเดินเล่นมาเรื่อยๆจนถึงฝั่งท่าเรือค่ะ จากนั้นเดินกลับเข้ามาทางโบถส์ La Cathedral de La Virgen Maria

โบถส์ตรงนี้ สร้างตั้งแต่สมัยที่สเปนยังยึดครองอยู่ค่ะ ส่วนในปัจจุบัน ผู้นำสังคมนิยมมักจะมาพร้อมกับแนวคิดที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนา เพราะในแนวคิดสังคมนิยมถือว่า ทุกคนเท่าเทียมกัน แต่ศาสนากลับเป็นตัวที่แบ่งชนชั้นว่าใครดีใครไม่ดี

ส่วนโบถส์แห่งนี้มีความน่าสนใจตรงที่ทาวเวอร์สองฝั่งจะไม่เท่ากัน แต่จริงๆเหตุผลก็คือเพราะฝั่งซ้ายต้องตัดซอยผ่านเลยต้องทำทาวเวอร์เล็กกว่าค่ะ

บรรยากาศตามท้องถนนใน Old Havana

ใน Old Havana มีมิวเซียมหลายแห่งเช่นเดียวกัน Museum of The Revolution และ National Museum of Fine Arts ก็ดูน่าสนใจมากๆ

เดินเล่นไปอีกซักพัก เราก็เริ่มหิว เลยแวะมาทานอาหารเย็นที่ร้านที่ขึ้นชื่อว่าเป็น บาร์ที่คิดค้น Daiquiri ค่ะ ชื่อว่า La Floridita คนเยอะเลยนะคะ แต่คนส่วนใหญ่มาทานแค่ค๊อกเทล Daiquiri ค่ะ

จานนี้เป็น ล๊อบสเตอร์กับปลาค่ะ เห็นแบบนี้ จริงๆแล้วสดและอร่อยมากเลยค่ะ ส่วน Daiquiri ที่นี่ก็ทำออกมาได้ดีสมชื่อจริงๆ

จากนั้นเราก็เดินเล่นแถวๆ Passeo De Marti ซึ่งเป็นถนนแบบอะเวนิวใหญ่ๆ ตรงกลางเป็นเหมือนลานสาธารณะที่เราจะเห็นคนออกมานั่งคุยกัน

ถึงตอนนี้ ก็เริ่มรู้สึกแล้วล่ะค่ะ ว่าชีวิตที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต (จริงๆก็มีแต่แพงมากสำหรับคนท้องถิ่น) ไม่ต้องก้มหน้า หยิบมือถือขึ้นมา จริงๆมันก็ดีเหมือนกันนะคะ เห็นเดินวิ่งเล่น เห็นชาวบ้านออกมานั่งคุยกัน เล่นเกมส์กระดานกันหน้าบ้าน ทุกคนต่างก็ทักกัน เด็กๆก็ยังวิ่งเล่นเตะบอล นับเป็นฟิลลิ่งที่ดีมากเลยค่ะ เรารู้สึกว่าใช้ชีวิตช้าๆแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะคะ

ยิ่งวันกลับ ที่เริ่มชินกับจังหวะการใช้ชีวิตที่นี่ แล้วบินกลับเข้าไปในนิวยอร์ค ความรู้สึกยิ่งแตกต่างกันแบบลิบลับเลยค่ะ

บางที เราว่าสังคมที่เวลามันเดินไปช้าๆแบบนี้ ก็ดีเหมือนกันนะคะ

คนที่นี่เฟรนด์ลี่มากๆ ไม่ใช่แค่จุดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวนะคะ แต่ย่านที่เป็นที่พักอาศัย คนก็ยิ้มให้เรา

Rum ที่นี่ดังมาก ที่นี่เป็นต้นกำเนิดของ Barcadi และ Havana Club รวมไปถึงเป็นที่คิดค้นค๊อกเทลที่ใช้รัมอย่าง Mojito และ Daiquiri อีกด้วย

สำหรับ Barcadi นั้น ตอนนี้จะไม่สามารถทำที่นี่ได้แล้ว เพราะครอบครัว Barcadi ซึ่งต้องลี้ภัยช่วงปฏิวัติขับไล่สเปน เค้าก็แนะนำว่า ถ้าอยากกิน rum แบบ Barcadi สูตรออริจินอล จริงๆ ให้กินยี่ห้อ Santiago de Cuba เพราะวิธีทำและแหล่งปลูกเป็นแหล่งเดียวกัน know-how เดียวกัน ไปปลูกที่อื่นก็จะไม่ได้รสชาตินี้

เราจะเจอหนุ่มๆ สาวๆ เดินถือขวดรัมกันไปมาบนถนน อย่างขวดนี้ เรายืมสาวคิวบามาถ่ายรูป เค้าก็น่ารัก ถ่ายรูปให้ แถมชวนกินรัมด้วยกันอีกด้วย

นอกจากนี้ การที่ที่นี่ไม่เทรดกับสหรัฐ ทำให้ที่นี่ไม่มีแบรนด์ต่างชาติ ไม่มีโค้ก แต่มีโคล่ายี่ห้อท้องถิ่น ทุกอย่างเป็นยี่ห้อท้องถิ่นหมดเลย สบู่ ยาสีฟัน เลย์ ฯลฯ

เรากลับบ้านมา นอนอ่านหนังสือเงียบๆ

เป็นวันแรกที่เราได้รู้จักคิวบา ที่ที่ทำให้เราได้รู้จักคุณค่าของโลกสมัยก่อน ที่ผู้คนเชื่อมโยงกันในโลกความจริงมากกว่าโลกออนไลน์ ที่ที่เราสื่อสารไม่ได้ แต่อยู่คนเดียวได้อย่างสบายใจ และเข้าใจว่าทำไมใครๆก็รีบมาสัมผัสสเน่ห์นี้ที่ ฮาวาน่า….

ตอนถัดไปจะมาพูดถึง ความเป็นอยู่แบบสังคมนิยม แนวคิดการใช้ชีวิตที่เราได้ไปสัมผัส รวมถึงทริปที่เราได้นั่งรถคลาสสิคอเมริกันออกไปรอบๆเมืองนะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลยค่ะ


บันทึกการเดินทางใน Havana ตอนที่ 1 คลิ๊กที่นี่
บันทึกการเดินทางใน Havana ตอนที่ 2 คลิ๊กที่นี่
บันทึกการเดินทางใน Havana ตอนที่ 3 คลิ๊กที่นี่


หากชอบรีวิว ช่วยกดไลค์เพจเป็นกำลังใจให้หน่อยนะคะ หรือไปตามไอจี @eatchillwander อัพเดทกันแบบเรียลไทม์ขอบคุณมากๆ ค่า




error: