[รีวิว] Robuchon au Dôme ห้องอาหารบนโดมที่สูงที่สุดในมาเก๊า กับรางวัล 3 ดาวมิชลิน

ในโลกของอาหาร Fine Dining เราเชื่อว่าคงไม่มีใคร ที่ไม่รู้จักชื่อ Joël Robuchon ผู้นำพาอาหารฝรั่งเศสระดับสูงให้เป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก ด้วยร้านสาขามากมายที่มีมาตรฐานระดับสูงสุด ขนาดที่ได้รับรางวัล Michelin Star ทุกหนแห่งที่เปิดร้าน เรียกได้ว่า เป็นชื่อมีที่ดาวรวมกันมากที่สุดในโลก โดยร้านของ Robuchon ส่วนใหญ่นั้น จะทำเป็นร้านที่นั่งแบบเคาเตอร์ ตกแต่งสีโทนแดงดำ ซึ่งมาในชื่อ L’Atelier de Joël Robuchon และมีความ casual อยู่ในระดับหนึ่ง แต่วันนี้ เราพิเศษกว่านั้น เพราะที่นี่ เป็นหนึ่งในแฟล็กชิพซึ่งจะมีความหรูหราและเป็นทางการมากกว่า และแน่นอนว่าสมสามดาวมิชลิน กับที่นี่ Robuchon au Dôme
ตั้งอยู่บนยอดของตึกสูงสีทองรูปทรงแปลกตาซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรม Grand Lisboa ร้าน Robuchon au Dôme นับเป็นหนึ่งใน pinnacle ของร้านอาหารระดับสูงของโลกนี้ก็ว่าได้ค่ะ ด้วยการตกแต่งที่หรูหรา อาหารชั้นเลิศ ไวน์ลิสต์ที่ทุกคนต้องตาลุกวาว และการบริการอันไร้ที่ติ โดยวันนี้ เราจะมารีวิว Lunch Menu ของร้าน Robuchon au Dôme ค่ะ ต้องบอกก่อนเลยว่า ไม่แพงอย่างที่คิด และคุ้มค่าคุ้มราคามากๆ
เมื่อเข้ามาในร้าน เราจะพบกับ interior สีทองอร่ามตา และ chandelier ขนาดยักษ์กลางห้องโถง เรารีเควสที่นั่งริมหน้าต่างเพื่อชมวิวมาเก๊าอย่างเต็มที่
ความพิเศษมากๆ ของที่นี่ คือการเนรมิตโดมบนยอดตึกอันเป็นสัญลักษณ์ของมาเก๊า อย่างตึก Grand Lisboa Hotel ให้กลายเป็นห้องอาหารหรูเนี่ยแหล่ะค่ะ สังเกตตึกสีทองๆ ตรงกลางนะคะ เราอยู่ในยอดโดมนั้นเลยค่ะ
สักพัก Sommelier ของเราก็ได้เข็นรถมานำเสนอแชมเปญให้ดื่มเล่นก่อนมื้ออาหาร ฟังเสียงบรรเลงเปียโนไปพลางๆค่ะ โดยเราได้เลือก Krug Grand Cuvée ซึ่เป็นหนึ่งในแชมเปญตัวโปรดของเราค่ะ
ที่ Robuchon au Dôme นั้นจะมีเซอร์ไพร์ส มาให้เราเรื่อยๆค่ะ โดยเซอร์ไพร์สแรกนั้น มาในรูปแบบของ Trolley เนยค่ะ เนยที่นี่มาอย่างอลังการงานสร้าง ตักกันสดๆจากก้อน หน้าโต๊ะเลยค่ะ แน่นอนว่าเป็นเนยฝรั่งเศสคุณภาพดี ที่นี่ใช้ Pamplie
ฝากนับกันด้วยนะคะ ว่าโรบูชงจะเข็น Trolley มาเซอร์ไพรส์เรากี่อัน
จากนั้น ก็ตามมาด้วย Bread Trolley อลังการงานสร้าง
คือ … มันเยอะมากเลยค่ะ เลือกไม่ถูก ทางร้านเลยจัดใส่ตะกร้าใบโตมาให้เราเลือกชิมได้ตามใจชอบเลย ขอบอกว่าขนมปังที่นี่อร่อยมากๆ
เราเริ่มมื้ออาหารกันด้วย Amuse Bouche – Le King Crabe ที่เสริฟมาคู่กับ ผักต่างชนิด เจลลี่ขิง และครีม Vichyssoise ค่ะ จานนี้ทำมารสชาติลงตัวมากค่ะ อร่อยเบาๆ เหมาะสำหรับการเริ่มมื้ออาหาร
ถัดมาเป็นจาน signature ของ Robuchon ค่ะ คือ Le Caviar
ทางร้านใช้ King Crab เป็นฐานด้านใต้แล้วท้อปด้วย Impérial Caviar ส่วนตัวเจลลี่นั้นทำมาจาก Consommé ของ Shellfish ทั้งหลายค่ะ โดยจานนี้เราสั่งเพิ่มเป็น extra course นะคะ ความเค็มมันของคาเวียร์ เข้ากันได้ดีกับความหวานเด้งของ King Crab ส่วนตัวเจลลี่นั้นเสริฟความหอมของเปลือกกุ้งเปลือกปู พร้อมำหน้าที่เบลนรสชาติของวัตถุดิบหลักทั้งสองตัวให้เข้ากันค่ะ
แม้ว่าหน้าตาดูเรียบง่าย แต่มีองค์ประกอบเยอะ ที่สำคัญ เราว่าเวลาลงจานต้องใช้เวลาประมาณนึงเลย
จาน Entree จานแรกของเราเป็น L’Asperge Verte หรือ Asparagus เขียวค่ะ เดือนมีนาคม เข้าสู่หน้า Asparagus แล้ว ร้านอาหารฝรั่งเศสก็มักจะนำมาใส่ไว้ในเมนูค่ะ ทำมาในสไตล์ Mimosa salad และเสิรฟความเค็มมันด้วย smoked duck breast
ส่วนของคุณแฟนที่มาด้วย สั่งเป็น L’Hamachi ค่ะ ทำเป็นเป็น Cappacio เพิ่มความหอมด้วย Espelette pepper ค่ะ กลมกล่อมและรสสัมผัสกรุบเด้งของปลาดีมาก เราชอบจานนี้มากกว่าค่ะ
Wine pairing ของทางร้าน ใช้ไวน์คุณภาพดี และเป็น label ที่คุ้นเคยสำหรับนักดื่มไวน์ค่ะ สองจานแรกนั้นถูกแพร์ด้วย Riesling ปี 2013 จาก Halenberg ระดับ GG (Grosses Gewächs) ของ Emrich-Schönleber ค่ะ ไวน์นั้น off dry เล็กน้อย เข้ากับความหวานของปูได้เป็นอย่างดี
Entree จานที่สอง เราเลือก Le Petit Pois หรือ little green pea ค่ะ เช่นเดียวกับ Asparagus ช่วงที่เราไปก็เริ่มเป็นหน้าของ green pea พอดี ก็จะได้ทานปีละครั้งในร้านอาหารฝรั่งเศสแบบนี้ละค่ะ เชฟดึงรสชาติหวานของ green pea ออกมาได้อย่างหมดจด
Starter จานที่สอง ของคุณแฟน เป็น Les Crustacés หรือของทะเลหลากหลายชนิด มาในซอส Bouillabaisse ค่ะ หอม กลมกล่อม และอูมามิมากๆ จริงๆ Bouillabaisse ในร้านโรบูชงไม่เคยพลาดซักสาขาเลยค่ะ แล้วต้องมี rouille ที่อร่อยมากๆ ทานประกอบทุกครั้ง
สองจานนี้จับคู่กับ Smith Haut Lafite Blanc 2015 ค่ะ สำหรับขวดนี้ น่าจะเป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วสำหรับคอไวน์ Bordeaux ค่ะ ถือเป็น Semillon Blanc ตัวท้อปๆ ของฝรั่งเศสเลย
ต่อด้วย Seafood Course กันค่ะ เราเลือก La Saint-Jacques หอยเชลล์ไซส์จัมโบ้จากฮอกไกโด หวานเด้ง ฉ่ำดีมาก เข้ากับซอส Coconut mlik & Coriander เป็นอย่างดี แม้ว่าเราจะไม่ค่อยชอบผักชีเท่าไหร่
รูปด้านล่างนี่ลงมาให้เทียบขนาดหอยเชลล์ค่ะ ใช่ค่ะ ในจานนั่นหอยเขลล์นะคะ ไม่ใช่มันฝรั่ง
จานที่สองเป็น Le Black Cod มาใน Malabar black pepper sauce, bok choy, และ coconut foam ค่ะ
เนื้อปลาปรุงมา perfectly cooked ค่ะ เนียนนุ่มเป็นที่สุด ซอสนั้นตัดเลี่ยนความมันของ Black cod ได้เป็นอย่างดี ซอสค่อนข้างเข้มข้น คิดว่าน่าจะถูกปากคนไทยที่ไม่ชอบอาหารฝรั่งเศสแบบเพลนๆ ค่ะ
สองจานนี้เสริฟมาคู่กับ “มันบด” ที่เป็นตำนานของร้าน Robuchon ค่ะ ทุกคนที่มาร้านนี้ ถ้าไม่ได้ทาน เหมือนมาไม่ถึงจริงๆ และมันก็อร่อยจริงๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ Robuchon Au Dome จะนำมาทั้งถ้วยแล้วตักลงบนจานให้เราค่ะ
คู่มากับไวน์ขาว Chardonnay ชื่อดังจาก Napa Valley – Kongsgaard – ปี 2014 ค่ะ ตัวนี้หาซื้อยากหน่อยค่ะ
ตั้งแต่ทานมา เราสังเกตได้ว่า Sommelier ที่นี่ จริงจังกับคุณภาพของไวน์ที่นำมา pairing อย่างไม่น่าเชื่อค่ะ เราไม่เคยเจอร้านอาหารที่ไหนนำไวน์ระดับนี้มาทำ pairing และขายเป็น by glass เลย แต่ที่นี่ทำ และที่สำคัญ เค้าทำราคามาดีมากๆค่ะ หลายๆขวดถูกกว่าซื้อจากร้านขายไวน์ข้างนอกเสียอีก (ถ้าหาซื้อได้นะคะ เพราะบางขวดก็หาซื้อยากมากค่ะ)
มาถึงคอร์สเนื้อค่ะ เรากับแฟนใจตรงกัน (สักที) เลือก Steak Tartar หรือ L’onglet de Boeuf ค่ะ ปรุงมาแบบฝรั่งเศสแท้ๆ ท้อปมาด้วย Black Truffle และไข่แดงค่ะ
ดูในภาพอาจจะดูไม่ออก ส่วนที่เป็นสีดำด้านบนในภาพคือ ทรัฟเฟิลสับนะคะ มีเนื้อมีหนังและหอมมาก ส่วนภายใต้ทองคำเปลวนั่นคือไข่แดงค่ะ
จานนี้มาคู่กับ Pinor Noir ปี 2010 จาก San Mateo County ของ Rhys ค่ะ เป็นขวด Entry level ของ Rhys ที่ราคาไม่ค่อย Entry เท่าไหร่ค่ะ
และก็มาถึง cheese course ที่เราตั้งตารอคอยค่ะ หนึ่งใน highlight ของร้านอาหารฝรั่งเศสชั้นดีก็คือ เราสามารถที่จะได้ลิ้มลองชีสชั้นยอด จากทั่วมุมประเทศฝรั่งเศสในคราวเดียวกันค่ะ
แล้ว Cheese Trolley ก็ถูกเข็นมาไว้ตรงหน้า
ชีสตัดมาชิ้นโต เสริฟพร้อม ผลไม้แห้ง ขนมปังและแครกเกอร์
ถ้ามีโอกาสอยากให้ลอง Comté ที่บ่มนานถึง 48 เดือน ของโปรดเราดูนะคะ หาทานไม่ใช่ง่ายๆ แม้แต่ในฝรั่งเศสค่ะ
เราอยากจับคู่ชีสกับไวน์ขาวจากเบอกันดีค่ะ เพราะชีสของเราส่วนใหญ่เป็น Hard/ Semi Hard ซึ่งไปได้ดีกับ Chardonnay ที่ไม่มีกลิ่นโอ๊ค
Sommelier ของเราไม่รอช้า นำเสนอไวน์ Puligny Montrachet 1er Cru Les Folatiéres ของ Benoît Ente ค่ะ เราประทับใจมากๆ เพราะเป็นไวน์ดีที่หาซื้อได้ยากจริงๆ เพราะปี 2009 ผลิตเพียง 1925 ขวดเท่านั้น ไม่คาดคิดว่าเค้าจะเปิดมาทำ pairing ให้ค่ะ ไวน์ขวดนี้ (ทางร้านบอกว่า wine pairing และ by glass ของทางร้านจะปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามที่ sommelier เห็นสมควรเลยค่ะ เพราะต้องให้เข้ากับอาหารที่เสริฟในทุกๆวัน)
ในขณะที่กำลังทานอาหารอยู่ เชฟใหญ่ก็เดินออกมาทักทายเราค่ะ เลยได้พูดคุยและถ่ายรูปร่วมกัน เราเห็นว่า เชฟจะเดินไปทักทายกับแขกทุกโต๊ะ และสอบถาม feedback อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆค่ะ เพราะเค้าเอาใจใส่เราจริงๆ โดยเชฟ Julien นั้นทำงานอยู่กับ Robuchon มายี่สิบกว่าปีได้ค่ะ เปิดสาขามาแล้วนับไม่ถ้วน ก่อนที่จะมาลงหลักปักฐานที่ flagship แห่งนี้
อาหารคาวผ่านไปแล้ว เราก็ต่อกันด้วยขนมหวานค่ะ มาเป็น Trolley เลยค่ะ อยากทานกี่ชิ้น ก็สามารถบอกได้เต็มที่
ที่ Robuchon au Dôme นั้น ถ้าเราไม่กลิ้งออกจากร้าน เค้าไม่ให้เรากลับค่ะ
ขนมนานาชนิดๆ ที่คุ้นเคยกันดี แต่อร่อยแสงพุ่งทุกชิ้นเลยค่ะ
Rum Baba ของคุณแฟน ที่ราด Rum คุณภาพดีเพิ่มเติมลงไปอีก ชุ่มฉ่ำกันสุดๆ
ขนมหวานกี่ชิ้นก็ได้ยังไม่พอ
รถเข็นคันที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ แต่คันนี้มาพร้อมกับ ไอศครีมโฮมเมด หอมหวาน เนื้อดีมาก
สำหรับขนมหวานของเรานั้น Sommelier บอกว่า ไวน์หวานคราวนี้มี เซอร์ไพร์สค่ะ
เป็น Fortified wine จาก Maury ผลิตปี 1929!!! ของ Domaine Pla Del Fount ทำจากองุ่น Grenache Noir ค่ะ
พูดไม่ออกค่ะ เราไม่คิดฝันว่าการมาทาน Lunch set ในร้านอาหารจะทำให้เราได้ชิมไวน์ดีๆและหายากขนาดนี้ ต้องชื่นชมทีม Sommelier ของทางร้านจริงๆ ที่พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะมอบประสบการณ์ที่หาได้ยากให้กับแขกทุกคน ไม่ว่าคุณพร้อมจะจ่ายถูกหรือแพงค่ะ
จบท้ายกันด้วย Petit Four ค่ะ มากันเป็นคันรถอีกแล้ว ถึงจุดนี้คือทานไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่ทุกอย่างคือดูดีมากๆ แต่เราทานไม่ไหวแล้วค่ะ
คอร์สนี้ เค้าจะเสิร์ฟคู่กับชาหรือกาแฟนะคะ
ก่อนกลับ Sommelier ของเรายังใจดี เอา digestif มาให้ดื่มย่อยอาหารด้วยค่ะ เป็นรัมฝรั่งเศสชั้นดี Cuvée Homère ยี่ห้อ Clément ค่ะ ที่สำคัญคือ นี่เป็น Old Bottling จากปี 90 ที่หาไม่ได้ง่ายๆแล้วค่ะ นุ่มละมุน ไม่บาดลิ้นบาดคอเลย ที่สำคัญ หอมซับซ้อนมากๆ
เวลาสามชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว นี่คือมื้ออาหารที่ดีที่สุดมื้อหนึ่งในทริปนี้ของเรา และที่สำคัญคือมันไม่แพงอย่างที่คิด สำหรับร้านระดับ Michelin star 3 ดาว
Lunch Tasting Menu เริ่มต้นที่ 688 MOP หรือประมาณ 2,800 บาท
Wine Pairing 4 แก้ว $580 หรือประมาณ 2,300 บาท แต่ได้ทานไวน์ที่สนนราคาอยู่ที่ 3-6 พันบาทต่อขวดในราคาเมืองนอกนะคะ ขอบอกเลยว่า คุ้มค่ามากๆ หาทานที่ไหนในเมืองไทยไม่ได้แน่นอนค่ะ
สำหรับคนที่เคยทาน L’Atelier de Jöel Robuchon อยู่แล้ว เราสามารถบอกได้ว่า รสชาติอาหารนั้นมาตรฐานเดียวกันค่ะ อาจจะต่างกันบ้างเล็กน้อย แต่เพิ่มเติมคือความพิถีพิถันในงานบริการ ไวน์ลิส และบรรยากาศความหรูหรา ที่หาไม่ได้ใน L’Atelier ค่ะ
ทางร้านแนะนำให้จองล่วงหน้า อย่างน้อย 1-2 เดือนนะคะ โดยเฉพาะมื้อเที่ยง ซึ่งเต็มตลอด เนื่องจากความคุ้มค่าเนี่ยแหล่ะค่ะ
ห้องอาหาร Robuchon Au Dome
ตั้งอยู่ที่ชั้น 43 โรงแรม Grand Lisboa Macau
หาไม่ยากค่ะโรงแรมโดดเด่นเป็นสง่ามาก
Website : https://www.grandlisboahotels.com/en/dining/robuchon-au-dome
มื้อเที่ยง 12:00-14:30 มื้อเย็น 18:30-22:30