[เที่ยว ซาอุดิอาระเบีย ด้วยตัวเอง Ep.3] เมือง Al Ula เที่ยว Hegra มรดกโลกอารยธรรมเดียวกับเพตรา และ Maraya อาคารกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลกกลางทะเลทราย

ภาพที่ทำให้นัทอยากมาเที่ยวซาอุดิอาระเบียมากที่สุด คือภาพจากเมือง Al Ula (อัลลูลา) ค่ะ เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีแหล่งโบราณสถานอารยธรรมเดียวกับเพตราอายุกว่าสองพันปี เป็นเมืองที่ซ่อนอยู่ในหุบเขา ผาหิน และ ทะเลทรายวิวเหมือนดาวอังคาร เมืองเก่าที่เต็มไปด้วยการจัดแสดงศิลปะและงานสร้างสรรค์ รวมไปถึงเป็นที่ตั้งของอาคารกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เมือง Al Ula นัทนั่งเครื่องมาจากเจดดาห์ประมาณชั่วโมงครึ่งค่ะ ตอนขาออกนัทบินไปต่อที่เมืองหลวงริยาดห์เลย ใช้เวลาประมาณชั่วโมงสี่สิบนาทีค่ะ มีสายการบิน Flynas กับ Saudia ค่ะ


การเดินทางในเมือง Al Ula

AlUla นั้น เป็นเมืองที่สร้าง facility มาเพื่อการท่องเที่ยวเลยค่ะ มีกิจกรรมแน่น มีอีเว้นท์ตลอด รัฐบาลโปรโมทสุดๆ การเที่ยวที่นี่ราคาจะสูงนิดนึง เพราะลูกค้าหลักคือคนจากริยาดห์เมืองหลวงค่ะ ค่าตั๋วเครื่องบินทั้งจาก ริยาดห์ และ เจดดาห์ จะแพงกว่าเมืองอื่นทั้งหมดทั้งที่ใกล้กว่า ลองหาเทียบใน Skyscanner.com ได้ค่ะ

นอกจากไฟลท์แล้ว ที่พักก็จะค่อนข้างไปทางแนวหรูหราค่ะ โรงแรมดังๆ ที่มาเปิดคือเน้นความอลังการเลย ราคาในหน้าร้อนประมาณหมื่นบาทต่อคืน ส่วนหน้าหนาวจะอยู่ประมาณราวๆ สามหมื่นต่อคืนค่ะ ที่พักราคาประหยัดหน่อยจะเป็นอพาร์ทเม้นท์ที่อยู่ในย่านอยู่อาศัย ซึ่งก็สะดวกนะคะ แต่เป็นคนละฟีลกันเลยค่ะ นอกจากนี้ เห็นมีคนทำเป็นเดย์ทริปจากเมือง Medina อีกหนึ่งเมืองใหญ่ที่ห่างออกไปประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่งค่ะ

ที่พักใน Al Ula (สวยอลังการ เหมือนหลุดไปอีกโลกทุกอันเลยค่ะ นัทว่า facilities พื้นฐานคล้ายกัน ต่างกันที่คาแรคเตอร์ของแต่ละแบรนด์ ซึ่งสื่อมาในการตกแต่ง ดีเทลต่างๆ มากกว่าค่ะ)

Habitas AlUla รีสอร์ทที่นัทมาพัก สวยทุกมุมตามสไตล์ Habitas ข้างในเหมือนมีภูเขาหินเป็นสวนหลังบ้าน บริการดี อาหารอร่อย
ทางไปจอง >> Habitas AlUla นัทจองผ่าน booking เพราะเช็คมาแล้วว่าถูกกว่าในเว็ปหลักค่ะ คลิ๊กลิงค์นี้ได้เลย

Banyan Tree AlUla รีสอร์ทหรูเครือบันยันทรีที่หลายคนคุ้นเคย ความปังคือ เค้าเอาห้องอาหาร Saffron ไปเปิดด้วย แม่ครัวคนไทยเลยค่ะ
ทางไปจอง >> Banyan Tree AlUla

Ashar Tented Resort อีกหนึ่งเต็นท์หรูที่อยู่ติดบันยันทรีเลยค่ะ ห้องจะมีกลิ่นอายชาวเบดูอินท้องถิ่นมากขึ้น ดูโตกว่า Habitas หน่อย Habitas จะแนวลูกเล่นเยอะๆ แต่ข้อเสียคือไม่มีสระว่ายน้ำค่ะ
ทางไปจอง >> Ashar Tented Resort

การเที่ยวซาอุดิอาระเบียโดยทั่วไปนั้น ไม่ค่อยเหมาะกับสายลุยเดี่ยวหรือไม่ขับรถนะคะ เพราะไม่ค่อยมีขนส่งสาธารณะ แล้วก็ไม่ได้มีที่พักราคาประหยัดซักเท่าไหร่ คือถามว่ามาคนเดียวได้มั้ย หรือ ไม่ขับรถได้มั้ย มันก็ได้หมดอ่ะค่ะ จะใช้ทัวร์ หรือ หารถเช่าพร้อมคนขับ ก็ย่อมได้ ลองหาใน Getyourguide.com ดูนะคะ คลิ๊กได้เลย นัทเลือกเมืองไว้ให้แล้ว แค่เท่าที่นัทลองหาข้อมูลมา มาหลายคนและเช่ารถขับคือสะดวกสุด ประหยัดสุด

อย่างไรก็ตาม ทริปนี้ เป็นทริปที่นัทพาที่บ้านเที่ยว แล้วทุกคนแฮปปี้มาก เพราะผู้ใหญ่ไม่สะดวกเดินเยอะ อันนี้รถเข้าถึงทุกที่ อากาศเย็นสบาย 8-15 องศา ส่วนการขับรถที่นี่ถือว่าไม่โหดเท่าเมืองใหญ่อย่างเจดดาห์กับริยาดห์ค่ะ ถนนมีไม่กี่เส้น

นัทมาถึงตอนกลางคืน ใช้เวลาขับรถเกือบ 1 ชั่วโมง เข้าเช็คอินที่พักที่ Habitas AlUla แล้วก็ตื่นเช้าตรู่ มาเริ่มเที่ยวที่ Hegra เพราะจองรถม้ารอบเช้าไว้ โชคดีที่ Habitas อยู่หากจากทางเข้า Hegra แค่ยี่สิบนาที ขับแป้ปเดียวถึง


แหล่งโบราณสถาน Hegra (Mada’in Saleh)

Hegra (เฮกรา) เป็นที่ท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่มากค่ะ นอกจากสิ่งที่เราจะได้เห็นด้วยตาแล้ว นี่คือหลักฐานอารยธรรมนาบาเทียนที่ใหญ่ที่สุดในโลก  นี่คือที่แรกในซาอุดิอาระเบียที่ยูเนสโก้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และ ที่นี่เพิ่งเปิดให้สาธารณชนเข้าเมื่อปลายปี 2020 นั่นหมายความว่า ทุกคนที่ไป จะเป็นกลุ่มคนแรกๆ ของโลก ที่ได้ชมดินแดนที่เก่าแก่กว่า 2000 ปีแห่งนี้ พร้อมกัน

อารยธรรมนาบาเทียน คือ อารยธรรมเดียวกับเพตรา ในประเทศจอร์แดนที่อยู่ห่างออกไปตอนเหนือ ประมาณ 500 กม. เป็นช่วง 2-4 ศตวรรษก่อนคริสตกาล ความสำคัญคือ เส้นทางนี้เป็นอีกเส้นทางการค้าสำคัญที่เก่าแก่ของอารยธรรมมนุษย์ และติดต่อระหว่างคาบสมุทรอาหรับ ทะเลเมดิเตอเรเนียน และ เอเชีย ในยุคก่อนอิสลาม แม้ว่าเพตราถือเป็นเมืองหลัก แต่สิ่งที่นักโบราณคดีขุดค้นพบที่เฮกรา ได้ครอบคลุมกุญแจไขความลับของอารยธรรมอันสูญหายในประวัติศาสตร์นี้ไว้เยอะ สิ่งที่ขุดเจอค่อนข้างจะอยู่ในสภาพดีกว่า

ทุกวันนี้ ก็ยังขุดค้นพบไม่หมด เพิ่งเริ่มขุดหาจริงจังในปี 2008 ที่ผ่านมาเองค่ะ แล้วยังมีเมืองที่เชื่อว่าถูกถมอยู่ใต้ดินของปัจจุบัน ที่น่าจะอธิบายปริศนาต่างๆ ได้อีก

หากใครเคยไปเพตราแล้ว มันมีความเหมือนและต่างอยู่ค่ะ ความเหมือนคือเรื่องของอารยธรรมนาบาเทียนและความเชื่อต่างๆ แต่ที่ต่างกัน คือการจัดการค่ะ ที่นี่จะไม่มีการขายของข้างใน ไม่มีเด็กตามขอทิป ไม่มีคนจูงม้า จูงอูฐ ขอนำทาง อะไรที่วุ่นวายเหมือนเพตราอ่ะค่ะ

ระบบการเที่ยว เฮกรา คือ ต้องจองทัวร์ผ่าน https://www.experiencealula.com/ เท่านั้น โดยจะมีทัวร์อยู่ 3 แบบค่ะ คือ บัสรวม, รถม้าส่วนตัว, รถวินเทจจิ๊ปส่วนตัว ซึ่ง ตอนนี้ในพื้นที่ Hegra ทั้งหมด จะให้นักท่องเที่ยวแวะชมแค่ 5 จุด แล้วก็จะไม่มีการเดินจากหนึ่งจุดไปอีกหนึ่งจุดเองนะคะ เป็นการลงตรงแต่ละจุด เข้าไปเดินเที่ยว แต่พอจะไปจุดถัดไป คือนั่งบัส หรือ รถม้า หรือ รถจิ๊ปไปต่อ

1. Hegra Tour : แบบนี้คือแบบเบสิกสุด ตกคนละ 95 SAR ซึ่งจะเป็นรถบัสติดแอร์ วนทั้งห้าจุด มาทุก 20 นาทีค่ะ ถ้าใครอยู่ไม่นานก็ถ่ายรูปทีละจุด แล้วก็ขึ้นบัสที่วนมา ก็จะตกจุดละ 20 นาที ใครที่ไม่ทันก็รอขึ้นคันถัดไปได้ค่ะ แล้วก็มีรอบถี่กว่า ข้อเสียคือถ้าใครซื้อทัวร์แบบนี้ เค้าจะให้จอดรถที่ Winter Park ซึ่งอยู่ค่อนไปทางในเมือง แล้วเค้าจะมี shuttle ให้บริการ ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีก็จะมาถึงทางเข้าเฮกราค่ะ

2. วินเทจ แลนด์โรเวอร์ : แบบนี้จะเป็นแบบส่วนตัว นั่งได้สูงสุด 7 คน คันละ 700 SAR ค่ะ

3. รถม้า : นัทเลือกแบบนี้ค่ะ นั่งได้สูงสุด 4 คน คันละ 400 SAR นัทไป 4 คนพอดี รถม้าจะให้บริการแค่ช่วงหน้าหนาวค่ะ แล้วหนาวจริง แต่เค้ามีผ้าห่มหนาๆ ให้ค่ะ

ข้อ 2-3 จะไปแค่ 3 จุดค่ะ แต่ข้อดีคือสามารถขับรถมาจอดที่ตรง Visitor Center ของเฮกราได้เลย แต่ถ้าใครที่จองแบบแรก พี่รปภจะไม่ให้เข้ามาจอดค่ะ ทัวร์ทุกแบบต้องจองล่วงหน้านะคะ ถ้าเต็มก็คือเต็มเลย แล้วก็ระยะเวลาที่ใช้ จะประมาณ 2-3 ชั่วโมงค่ะ

มาถึง Visitor Center ก็จะมีนิทรรศการเล็กๆ อธิบายความเป็นมา และ แสดงรูปปั้นจำลองที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์วิเคราะห์จากกะโหลกหญิงสาวที่พบค่ะ

พร้อมแล้ว ก็นั่งรถม้าออกไปเลยค่ะ วันนี้ นัทจองรอบเช้าสุดเลย เหมือนเค้าจะมีแค่รอบเช้าก่อนทัวร์บัสกับทัวร์จิ๊ปจะเข้า แล้วอีกทีคือตอนเย็นเลยค่ะ ข้อเสียคือตื่นเช้าสุดๆ แต่ข้อดีคือ ทั้งอาณาเขตมีแค่เราเลยค่ะ ถ่ายรูปสนุกมาก

จุดแรกที่มาถึงคือ Jabal Al Ahmar  ต้องบอกว่า อารยธรรมนาบาเทียนที่เราเห็นการแกะสลักหินด้านหน้าแบบนี้ทั้งที่เฮกราและเพตรา คือ สุสานค่ะ และสุสานเป็นสิ่งบ่งบอกสถานะทางสังคม

ให้สังเกตตรงฐานของหินก่อนจะขึ้นไปยังช่องประตู จะเห็นว่าอยู่สูงกว่าพื้นดิน เพื่อใกล้กับพระเจ้า ไกด์เล่าว่า นักโบราณคดีสันนิฐานว่า น่าจะมีเมืองที่ในปัจจุบันถูกทับลงไปใต้ดิน หากขุดพบทั้งหมด สุสานเหล่านี้ จะยิ่งอยู่สูงกว่าพื้นดินขึ้นไปอีกมากๆ เลยค่ะ

หินใหญ่แห่งแรกนี้ มีสุสานอยู่ 18 แห่งค่ะ

อย่างตรงนี้ ถ้ารถบัสมาจอด เราก็ต้องเดินวนดูรอบๆ หินเองค่ะ แต่ของนัท ไกด์ใจดีมากๆ พอดีผู้ใหญ่ที่ไปด้วยมีการผ่าตัดเข่าแล้วเดินไม่สะดวก ทางไกด์เลยพานั่งรถกอล์ฟดูรอบๆ แต่ละจุดเลยค่ะ

ตรงนี้เป็น Twin tomb เป็นอันเดียวที่เหมือนกันเป๊ะทั้งสอง

พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว สวยงามมากๆ

มาถึงจุดที่สอง จุดนี้ Tomb of Lihyan son of Kuza หินนี้เป็นหินที่โดดเด่นที่สุด ใหญ่ที่สุด และ เหงาที่สุด เพราะเป็นหินเดียวที่มีสุสานเพียงแห่งเดียว ชื่อ Lihyan son of Kuza ก็คือชื่อที่แปลได้จากจารึก แต่ยังไม่สามารถค้นพบเรื่องราวทั้งหมดว่าเป็นใคร สำคัญอย่างไร มีแค่ทฤษฎีอยู่ค่ะ

แม้จะใหญ่ แต่ว่าเป็นสุสานที่สร้างไม่เสร็จ งานแกะสลักแค่ร่างไว้ แต่ยังทำไม่ถึงไหน เดี๋ยวลองสังเกตตรงพวกจั่วและเสา เทียบกับจุดถัดไปนะคะ

อีกจุดเด่นของเฮกรา พบการสลักหินบันทึกข้อความไว้ยังแปลความหมายได้ และบนสุสานส่วนใหญ่ จะเขียนว่าเป็นใคร สร้างเมื่อปีอะไร และก็อาจจะมีคำสาบแช่งว่าห้ามใครมายุ่งกับสุสานอะไรประมาณนี้ (ความเชื่อโบราณมาก) แต่ว่าข้อดีคือ ทำให้นักโบราณคดีได้รู้ปีและอายุของอารยธรรมนาบาเทียนจริงๆ

Jabal Al Banat จุดสุดท้าย ตรงนี้เป็นกลุ่มหินที่มีสุสานอยู่เยอะที่สุด และยังค่อนข้างสมบูรณ์ค่ะ ยกเว้นพวกรูปปั้นที่มีการตัดหัว ซึ่งอาจจะเกิดจากภายหลัง มีคนที่ถือความเชื่ออื่นเข้ามายังดินแดนนี้ค่ะ

บนกรอบประตูจะมีรูปปั้น สฟิงซ์ เหยี่ยว และ กริฟฟินกางปีก รวมไปถึงบางสุสานมีรูปสลักของหน้าที่มีงูเลื้อยออกมาคล้ายเมดูซ่า ซึ่งทั้งหมดนี้ นักโบราณคดีมองว่า มีการผสมผสานทั้ง กรีก โรมัน อียิปต์ และ เปอร์เซียอยู่ แต่ด้วยความที่ อารยธรรมนี้ไม่ได้ทิ้งบันทึกเป็นวรรณกรรม เหมือนพวกกิลกาเมชหรือโอดิสซี ทำให้เราไม่มีข้อมูลเรื่องความเชื่อของที่นี่เหมือนกันค่ะ

ใช้เวลาราวๆ สองชั่วโมงกว่าๆ ก็จบทัวร์ เกือบเที่ยงแล้ว นัทจึงขับรถมาทานอาหารเที่ยงแถว Old Town Al Ula ค่ะ


Pink Camel Pastry Boutique

นัทมาทานอาหารเที่ยงกันที่นี่ค่ะ ร้านจะอยู่ฝั่งตรงข้ามเมืองเก่า ในโซนที่เป็นโอเอซิสที่เต็มไปด้วยต้นเดท การตกแต่งจะดูดิบๆ เข้ากับสถานที่ แต่สะอาดสะอ้านค่ะ ข้างในไม่มีฮีตเตอร์แล้วหนาวมากอยู่ไม่ไหว เลยต้องมานั่งผิงแดดกัน

ที่นี่ดังเรื่องขนม เค้ก ครัวซองต์ ส่วนเมนูอาหารจะมีอาหารเช้า โทสท์ สลัด ซุปต่างๆ นัทสั่ง อโวคาโด้โทสท์ ไก่ย่างสลัดซอสเลม่อน ก็ใช้ได้เลยค่ะ แต่เมนูที่พีคสุดคือ Croissant Um Ali เป็นครัวซองต์แช่มาในนม มะพร้าวถั่ว มีความมะลิและแซฟฟรอนหน่อย คือมันนวลละมุนอร่อยมากๆ


Al Ula Old Town & Market

จากนั้น เราก็ข้ามมาชมเมืองเก่าอัลลูลากันค่ะ คือ เฮกราเนี่ยถือเป็นอารยธรรมโบราณ แต่เมือง AlUla ก็มีการอยู่ของผู้คนท้องถิ่นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 เมืองที่เป็นเหมือนเขาวงกตที่สร้างตัวอิฐโคลนนี้ มีการอยู่อาศัยมาจนถึงต้นปี 1980s เลยทีเดียวค่ะ ในพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้มีบ้านกว่า 900 หลัง ร้านค้ากว่า 500 แห่ง และมีจัตุรัสในเมืองอีก 5 แห่ง มีป้อมปราการที่ย้อนกลับไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 10

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย (เพราะมันเป็นเขาวงกตจริงๆ ค่ะ) ต้องใช้ทัวร์กับทาง https://www.experiencealula.com/ เช่นกันค่ะ

แต่หากใครไม่เข้าไปทัวร์ตรงเมืองเก่า ก็สามารถมาเดินเล่น ช้อปปิ้ง กินดื่ม ตรงถนนคนเดินหลักของเมืองเก่าอัลลูลาได้เช่นกันนะคะ จะเป็นถนนเส้นด้านหน้าตรงๆ ไม่หลงแน่นอนค่า

ภาพบนคือเราแอบส่องดู ส่วนภาพด้านล่างจะเป็นบรรยากาศ ซึ่งบนถนนคนเดินนี้ จะเต็มไปด้วยร้านค้า ดีไซเนอร์ท้องถิ่น งานแฮนด์เมด งานคราฟท์ น้ำหอม จิลเวลรี่ น้ำผึ้ง อินทผลัม ส่วนร้านอาหารก็มีตลอดทาง แต่เราเพิ่งทานมา เลยทำได้แค่แวะร้านกาแฟ ซึ่งเก๋มากกก

บรรยากาศร้านค้าค่ะ


Wacafe

ร้านกาแฟอะไรมันจะเก๋ได้ขนาดนี นี่คือต้องมานะคะ การตกแต่งข้างในคือสวยมาก ส่วนกาแฟ ก็มีทั้ง Specialty Coffee มีเมนูกาแฟมาตรฐาน เครื่องดื่มเย็นต่างๆ คราฟท์ช็อคโกแลต มีเบเกอรี่นิดหน่อยแต่อร่อยเลยค่ะ

ร้านจะมีที่นั่งบนดาดฟ้า ซึ่งตอนนี้ แม้ไม่ร้อน แต่แดดแรงแบบไหม้อยู่ค่ะ

บรรยากาศภายในร้าน

ถ่ายรูปสนุกมากๆ ค่ะ


Habitas AlUla

จบจากเที่ยวในเมืองเสร็จก็มาพักผ่อนที่โรงแรมแล้วค่ะ จ่ายค่าโรงแรมไปแรงอยู่ จากช่วงบ่ายจนถึงมื้อเย็น นัทอยู่ที่โรงแรมตลอดเลย ซึ่งเดี๋ยวโพสท์นี้จะยาวเกินไป เพราะวันนี้ นัทยังมีที่ที่ไปอีกค่ะ เดี๋ยวในตอนหน้านัทจะเล่าให้ฟังว่า ที่โรงแรมมีอะไรให้ทำบ้าง กิจกรรมเพียบ ไม่ต้องออกไปไหนเลยค่ะ

แต่ต้องบอกเลยว่าที่นี่เป็นหนึ่งในโรงแรมในฝันของนัทเลย สะดวกสบายสุดๆ วิวสวยมาก เหมือนมีวิวหินทรายเหล่านี้เป็นสวนหลังบ้านที่มาเดินเล่นได้ตลอดเวลา มีความสงบใกล้ธรรมชาติ มีความนิ่ง ที่เราชื่นชมธรรมชาติได้จริงๆ

ทางไปจอง >> Habitas Al Ula 


Maraya

ที่นี่คืออาคารกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบันค่ะ คำว่า Maraya นั้น ภาษาอารบิคแปลตรงตัวว่า กระจก หรือ เงาสะท้อนเลย อาคารแห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นอาคารเอนกประสงค์ที่เป็นได้ทั้งคอนเสิร์ตฮอลล์ จัดนิทรรศการและอีเว้นท์ต่างๆ ส่วนด้านบนมีร้านอาหารที่เราจะทานในค่ำคืนนี้ค่ะ

ด้วยความที่ตั้งอยู่กลางทะเลทรายที่โอบแล้วด้วยเขาหิน ทำให้ที่นี่ดูเหนือจริงมากๆ

Maraya จะอยู่เวิ้งเดียวกับ Habitas โรงแรมที่นัทพักนะคะ ขับรถออกมาประมาณ 5 นาทีเท่านั้น แต่ก่อนจะเข้าในเวิ้งทั้งหมดนี้ เค้ามีป้อมรปภ.อยู่ด้านหน้า ซึ่งนัทไม่แน่ใจว่า ถ้าไม่ได้พักข้างในจะต้องแจ้งเค้าว่าอะไรเหมือนกันค่ะ


Maraya Social

ร้านอาหารจากเชฟ Jason Antherton เชฟหนึ่งมิชลินดาวจากอังกฤษ ราคาแรงแต่ไม่ได้แรงกว่าร้านอื่นทั้งใน Al Ula และ ริยาดห์ค่ะ โดยรวมถือว่ารสชาติดี จานที่นัทสั่งมาคือดีทุกจานเลยค่ะ สเต็กก็สุดพอดี ทุกอย่างตามมาตรฐานมากๆ


Back to the camp…

ทานอาหารเสร็จ ขับกลับมาที่พักแค่ 5 นาทีค่ะ รอบนี้มีรถไอศครีมจอดอยู่ด้วย แต่หนาวมากเลยยยยย ฮือออ

แอบเอารูปท้องฟ้าตอนกลางคืนมาอวดก่อนค่ะ สงบและธรรมชาติจริงๆ ดาวเต็มฟ้าเลย

จบแล้วค่ะสำหรับวันแรกเต็มวันใน Al Ula ตอนหน้าจะเป็นวันที่สอง ซึ่งก็ยังมีกิจกรรมอีกเพียบเลยค่ะ ไปอ่านต่อกันเลยนะคะ


สำหรับรีวิวเที่ยวซาอุดิอาระเบียด้วยตัวเอง นัทแบ่งเป็น 5 ตอนนะคะ

ตอนที่ 1 : ข้อมูลทั่วไป ทุกอย่างที่ควรรู้ แผนการเดินทาง

ตอนที่ 2 : เที่ยว Jeddah

ตอนที่ 3 : เที่ยว Al Ula Part 1

ตอนที่ 4 : เที่ยว Al Ula Part 2

ตอนที่ 5 : เที่ยวเมืองหลวง Riyadh


หากชอบรีวิว อย่าลืมกดไลค์เพจ และ ติดตามไอจี @eatchillwander ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า

 




ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com

error: