[รีวิว] เที่ยวเกาะ Cebu (เซบู) ประเทศฟิลิปปินส์ แบบครบรส หนึ่งในที่ที่เราอยากกลับไปหลังเปิดประเทศมากที่สุด!!

ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว นัทได้มีโอกาสไปสัมผัสความสวยงามของ เกาะเซบู (Cebu) ประเทศฟิลิปปินส์ หนึ่งในทะเลที่นัทประทับใจมากที่สุดแห่งหนึ่ง ทั้งความอุดมสมบูรณ์ ความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว น้ำตกสีฟ้าอลังการ ฉลามวาฬตัวยักษ์ ทะเลอันอุดมสมบูรณ์ รวมไปถึงวัฒนธรรมผสมผสานจากทางตะวันตก

แต่เมื่อไปถึงแล้ว เราประทับใจยิ่งไปกว่านั้นอีกค่ะ เพราะค่าครองชีพถูกมากกกก และ ผู้คนน่ารักใจดีมากๆๆ และสิ่งที่ทำให้เราอยากกลับไปถึงทุกวันนี้ คือตอนที่ได้ไปว่ายน้ำกับปลาซาร์ดีนนับล้านตัวที่เรียกว่า Sardine Run เป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ ต้องไปสัมผัสเองค่ะ

และด้วยความประทับใจนั้น ทำให้นัทตั้งใจแพลนทริปกลับไปตั้งแต่ก่อนโควิด และก็ทริปล่มเหมือนกับทุกคนเลยค่ะ แต่มาถึงตอนนี้ สถานการณ์ในฟิลิปปินส์ และ เกาะเซบู ดีขึ้นมากๆ และมีแนวโน้มจะกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกครั้ง

โดยทางฟิลิปปินส์กำลังพิจารณา และ น่าจะเริ่มลดระยะเวลากักตัวให้กับผู้ฉีดวัคซีนครบแล้วค่ะ

จากตัวเลขผู้ติดเชื้อซึ่งตอนนี้ลดลงต่ำมาก, ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง, ระยะเวลา และ ลักษณะในการเดินทาง (กิจกรรมส่วนใหญ่เป็น outdoor, ไม่ค่อยได้ใกล้กับฝูงชน, รถ เรือ ส่วนตัว) หากใครถามนัท ที่นี่ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีเป็นอันดับต้นๆ ในการไปหลังโควิดเลยค่ะ ไม่ต้องขอวีซ่าด้วยค่ะ

สำหรับรีวิวนี้ นัทไปค้นรูปที่ไม่เคยลงทั้งในเว็ปไซต์และเพจ มาให้ชมด้วยค่ะ สำหรับใครที่อยากอ่านรีวิวเซบู ฉบับออริจินอลที่นัทเคยเขียนไว้ สามารถ คลิ๊กที่นี่ ได้เลยนะคะ


ข้อมูลทั่วไป

– เที่ยวบินตรงจาก กรุงเทพ – เซบู ใช้เวลาประมาณ +-4 ชั่วโมงค่ะ สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!

– คนไทยไม่ต้องขอวีซ่า อยู่ได้ไม่เกิน 30 วัน

– ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของที่นี่ ทำให้ทุกคนพูดได้ เราไม่ต้องห่วงเรื่องการสื่อสารเลยค่ะ จริงๆคนเซบูพูดภาษา Visaya ซึ่งเป็นคนละภาษากับ Filipino นะคะ แต่เค้าพูดได้ทั้งสองภาษาค่ะ

– ค่าเงินฟิลิปปินส์เรียกว่า Peso , ตอนที่เราไป 1 Peso = 0.65-0.67 Baht

– เกาะเซบูขนาดใหญ่ ขับจากเมือง Cebu City ไปเมืองฉลามวาฬ Oslob ใช้เวลาราว 4 ชั่วโมง ในระยะทาง 120 กม. ดังนั้น หากจะย้ายเมือง ต้องเผื่อเวลานิดนึงนะคะ

– การเดินทางในนั้น สามารถเรียก Taxi ซึ่งอาจจะเรียกราคาเราแพงกว่าปกติ แนะนำให้ใช้ Grab แอพเดียวกับที่เมืองไทย ส่วนรถประจำทางอย่าง Jeepney ขึ้นค่อนข้างยากเพราะต้องรู้สายว่าสายไหนไปไหน แล้วมันไม่มีป้ายชัดเจน  นอกจากนี้ ถ้าไประหว่างเมืองก็จะมีรถบัส ที่ราคาถูก แต่เราห่วงกระเป๋าเลยเหมารถพร้อมคนขับแทนค่ะ

– ทัวร์ส่วนตัว จากเมืองเซบูไปเที่ยว Oslob, Canyoneering, Sumilon, Moalboal ที่นัทว่าเวิร์คสุด รวมทุกอย่าง และ ไม่ต้องโอนไปมัดจำก่อน คือจองผ่าน Klook ค่ะ ทางไปจอง >> คลิ๊กที่นี่

– อาหารที่นี่ออกทางเค็ม แต่ก็ทานง่าย ไม่ต่างจากอาหารไทยมากค่ะ อย่าลืมลอง Jollibee ที่เป็นเหมือนแมคโดนัลด์ท้องถิ่นของที่นี่นะคะ ส่วนเมนูที่เราชอบคือ Sinigang ค่ะ

– ผู้คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ โดยเค้าจะสวดสายประคำกันเป็นประจำ อย่างเวลาคนขับรถเค้ารอเรา เราก็จะเห็นเค้าสวดสายประคำตลอดเลยค่ะ

สามารถติดตามอัพเดทเรื่องการเดินทางเข้าประเทศฟิลิปปินส์ได้ที่ >> https://www.philippineairlines.com/en/covid-19/arrivingintheph

หรือข้อมูลภาษาไทยบน Facebook Page ของการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ ได้ที่ >> https://www.facebook.com/PhilippineTourismThailand


Highlights ที่เที่ยวใน Cebu

ทริปที่แล้วนัทไปแค่ 5 วัน 4 คืน และเน้นเที่ยวเกาะ Cebu ทางตอนใต้ — ถ้ามีโอกาสกลับไป นัทจะไปอยู่แต่ละจุดนานกว่านี้ โดยเฉพาะที่ดำน้ำสนอร์กเกิ้ลแถวๆ Moalboal คงไปนอนเล่น พักผ่อนริมทะเล ซัก 2-3 คืน แล้วก็จะไปดำน้ำลึกกับฉลามหางดาบที่ Malapascua ทางตอนเหนือของเกาะให้ได้เลยค่ะ อยากกลับไปมากๆ เลยค่ะ ยิ่งหลังโควิดที่นักท่องเที่ยวและเรือน้อยลง น่าจะไพรเวทมากๆ เลย

วิธีการเดินทางของนัทคือจ้างรถพร้อมคนขับส่วนตัว ทั้งทริปเลยค่ะ รับเราตั้งแต่สนามบินแล้วก็ไปด้วยกันตลอดทางเลย พวกเรือ ก็ให้ทางทัวร์จองไว้ให้หมดเลยค่ะ ยกเว้นที่พักที่จ่ายเอง ทัวร์ 3 วัน ไพรเวท 3 คน ประมาณคนละ หกพันห้าค่ะ จองผ่าน Klook ค่ะ ทางไปจอง >> คลิ๊กที่นี่

ที่เที่ยวที่ห้ามพลาดบนเกาะเซบู ได้แก่

– เทรคบนธารน้ำแบบ Canyoneering ที่ Kasawan Falls
– ชมฉลามวาฬ และ นอนเล่นบนเกาะ Sumilon ที่เมือง Oslob
– ว่ายน้ำกับซาร์ดีนล้านตัวที่ Moalboal นั่งเรือออกไปชมแนวปะการังอันสมบูรณ์ที่เกาะ Pescador
– ชมเมือง ประวัติศาสตร์​ วัฒนธรรม และ หาของกินในเมือง Cebu City

ทัวร์ครอบคลุมทุกอย่าง 3 วัน ทางไปจอง >> คลิ๊กที่นี่


Canyoneering at Kasawan Falls

ในภาษาอังกฤษนั้น Canyoneering แปลตรงตัวว่า กีฬาในการสำรวจแคนยอน (หุบเขาที่มีลำธาร) ซึ่งมักจะประกอบไปด้วยการไต่ ว่ายน้ำ โรยตัว กระโดดน้ำ ดังนั้น อาจจะต้องเป็นคนลุยและชอบเดินประมาณนึง แต่อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ แก๊งค์เราไม่ใช่คนฟิต ไม่ได้ต้องใช้สกิลอะไรพิเศษค่ะ จริงๆ มันแทบจะลอยคอไปตามธารน้ำเลย ปีนป่ายนิดเดียว วัดใจตอนโดนน้ำ แต่เหนื่อยจริงๆ จะมีแค่ช่วงที่เดินป่าประมาณ 20 นาที ตอนที่เล่นน้ำนี่ สนุกสุดเลยค่ะ

เรามาเช็คอินจะมีห้องน้ำ จุดแจกอุปกรณ์ รองเท้า หมวกกันน๊อก เสื้อชูชีพ แล้วก็มีกระเป๋ากันน้ำ Dry bag โดยไกด์จะเป็นคนช่วยดูแลให้เราค่ะ — เราว่ารองเท้าที่เค้าแจกให้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะคะ ถ้าใครมีของตัวเอง เอาไปจะดีกว่าค่ะ

จากจุดเช็คอิน นั่งมอเตอร์ไซค์ ไปอีกประมาณ 10-15 นาที ซักพักก็จะมาถึงน้ำตก ภาพที่เราเห็นตั้งแต่แรกคือ น้ำใสมากกก แล้วนำ้เป็นสีฟ้าจริงๆ แบบในภาพเลย

จุดที่ต้องกระโดด จะมีจุดบังคับที่ไม่อย่างงั้นไปต่อไม่ได้ คือ 4 เมตร นอกจากนี้จะมีจุดต่างๆ ตั้งแต่ 4 – 15 เมตร ที่มีออปชั่นค่ะ นอกจากนี้ ยังมีพวกสไลด์ลงมาแบบสไลเดอร์เลย

จริงๆ น้ำตกชั้นนี้ สามารถมาจอดรถตรงทางเข้า แล้วเดินเข้ามาได้เลยประมาณ 10 นาที แบบไม่ต้องเปียกก็ได้ค่ะ


Oslob Whale Sharks and Sumilon Island

ที่เมือง Oslob เป็นจุด Whale Shark Observation Area หรือ จุดชมฉลามวาฬ ที่มีชื่อเสียงมากๆ ในโลก เป็นที่ที่ทุกคนจะมีโอกาสได้เห็นปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยตาของตัวเองซักครั้ง

สำหรับเรื่องการชมฉลามวาฬของที่นี่ ได้มีการถกเถียงกันค่อนข้างมาก มีผู้ต่อต้านเช่นเดียวกับหลายๆ กิจกรรมที่มีสัตว์มาเกี่ยวข้อง นัทขอเขียนเป็นข้อมูลของทั้งสองฝ่ายให้ทุกคนลองตัดสินใจดูนะคะ

ฝ่ายสนับสนุน : ฉลามวาฬมาตามกินเศษกุ้งที่ติดอวนชาวบ้านชาวประมง มาอย่างยาวนาน แบบที่ชาวบ้านเองก็ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องหน้าตื่นเต้นอะไร จริงๆ แล้วบนเกาะนี้ก็เคยล่าฉลามวาฬขายด้วยซ้ำ แต่พอมีนักท่องเที่ยวฝรั่งมาเห็น เลยขอจ้างให้ชาวบ้านพาออกเรือไป ธุรกิจท่องเที่ยวแบบนี้จึงเริ่มขึ้นค่ะ (เคยอ่านเจอว่าเริ่มประมาณปี 2003) จุดดีของเรื่องนี้คือ ฉลามวาฬไม่ต้องโดนล่ามาขายอีกต่อไป และอย่างที่บอกว่า มันมาอยู่แบบนี้ มาตั้งแต่ก่อนจะเป็นธุรกิจท่องเที่ยวแล้ว

ฝ่ายต่อต้าน : แน่นอนค่ะ การให้อาหารทำให้พฤติกรรมตามธรรมชาติของมันเปลี่ยนไป นอกจากการรบกวนระบบนิเวศน์โดยการให้อาหารแล้ว ฉลามวาฬยังต้องมาเจอนักท่องเที่ยวและเรือ ซึ่งสมัยก่อนไม่ได้มีการควบคุมแบบทุกวันนี้ มีคนเข้าไปโดนตัวน้อง ว่ายน้ำเข้าไปจับ และเรือขับไปโดนทำน้องเป็นแผล ไหนจะเจอสารเคมีที่เป็นอันตรายจากครีมกันแดดอีก < ซึ่งเราเองก็เคยไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตามตอนที่ไป เค้ามีการควบคุมอย่างจริงจัง ไกด์ดุมาก และห้ามเราเข้าใกล้เลย แบบกระชากออกเลยค่ะ เรือนักท่องเที่ยวไม่ให้เข้าไปใกล้ คือเรือนักท่องเที่ยวจะอยู่รอบๆ แล้วมีเรือให้อาหารตรงกลาง เวลาเราไปเราอาจจะรู้สึกว่าคนเยอะ แต่จริงๆ คือมีแว้ปเดียวที่เราไปเลยค่ะ รอบเช้ารอบเดียว ห้ามทากันแดดเด็ดขาด เรือที่นำเข้าไปก็เป็นเรือพาย ไม่ใช่เรือยนต์

ฝ่ายนักวิจัย : คิดว่ามันมีผลกระทบต่อพฤติกรรมการย้ายถิ่นของฉลามวาฬ ต้องจับตาดูและศึกษา แต่นักวิจัยองค์กรสัตว์น้ำใหญ่ LaMave ก็มาตั้งศูนย์วิจัยที่นี่ เพราะที่นี่เป็นที่เดียวที่เค้าสามารถเรียนรู้ และได้รับข้อมูลฉลามวาฬเยอะที่สุดเท่าที่เคยวิจัยมา

พอเห็นว่ามีการจัดการจริงจัง และมีศูนย์วิจัยมาคอยดูแล เลยตัดสินใจไปค่ะ และวินาทีที่เราได้พบกับปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทุกอย่างมันนิ่งไปหมดเลย….

ฉลามวาฬหรือน้องจุด ช่างสง่างามและยิ่งใหญ่สมกับที่นักดำน้ำทุกคนอยากพบซักครั้ง น้องเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ วันนี้ เข้ามากัน 4-5 ตัว ตัวที่ใหญ่ที่สุด ใหญ่มากกกกก แบบที่เราไม่รู้จะอธิบายยังไง ใหญ่กว่าเรือ สองลำได้

ใครที่ว่ายน้ำไม่แข็ง ก็สามารถ เกาะขาเรือดูได้เลยค่ะ ทุกภาพที่ทุกคนเห็นคือเราไม่ได้ตั้งใจจะไปใกล้ๆเลย ส่วนใหญ่เค้าจะมาใกล้เราเอง ด้วยความที่ทะเลคือบ้านของเค้า เค้าขยับนิดเดียวก็มาใกล้เราแล้ว แต่ถ้าเราหลบไม่ทัน ไกด์จะคอยลากเราหลบด้วยอีกแรงค่ะ

ที่ Oslob นอกจากฉลามวาฬแล้ว ยังมีเกาะ Sumilon ที่น่าข้ามไปพักผ่อนค่ะ โดยเกาะ Sumilon จะมี Resort อยู่ ซึ่งมีค่า Day Tour อยู่ที่ 1500 เปโซ จะรวมค่าเรือข้ามฟาก, สนอร์กเกิ้ล, บุฟเฟต์อาหารเที่ยง, คายัก รวมถึงการใช้สระว่ายน้ำ และ หาดของโรงแรมค่ะ ที่นี่สวยมากๆ เลย หน้าหาด ปะการังยังสมบูรณ์มาก


Sardine Run at Moalboal and Pescador Island

Moalboal เป็นอีกหนึ่งเมืองริมชายหาดที่มีจุดเด่นคือแนวปะการังสุดอลังการที่ว่ายน้ำออกไปชมจากหาดได้เลย จุดนี้มีทั้ง Turtle Point และ ไฮไลท์ในทริปนี้ของเราอย่าง Sardine Run ทำให้ Moalboal นั้นกลายเป็นเมืองยอดฮิตสำหรับแบ็คแพคเกอร์เลยทีเดียว

ดังนั้น หากคุณพักอยู่ที่ Moalboal ก็ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ มีทั้งโรงแรม ที่พัก โฮสเทล ร้านอาหารที่มีเมนูภาษาอังกฤษทั้งแถบเลย แถวนี้หาทัวร์ Day trip ไปน้ำตก Kasawan Falls ก็ยังได้ ค่อนข้างครึกครื้นกว่าที่ Oslob เยอะเลย

สำหรับวันนี้ พอเรามาถึง Moalboal กัน คนขับก็พาเราไปขึ้นเรือเลยค่ะ ซึ่งจะไปยังเกาะเล็กๆ ไม่ไกลจาก Moalboal ชื่อว่าเกาะ Pescador Island ตรงนี้มีแนวปะการังที่สวยและสมบูรณ์มากๆ ข้อดีของการมีเรือส่วนตัวคือ เราสามารถว่ายไปตรงไหนก็ได้ เราขึ้นตรงไหน เรือก็ไปตรงนั้น ไม่ต้องว่ายกลับเรือ อยู่นานขนาดไหนก็ได้เลย

จากนั้นเราก็กลับมาใกล้ฝั่งเพื่อจะไปดู Turtle Point และ The Sardine Run ค่ะ

Sardine Run เนี่ย ตอนแรกเราไม่ได้สนใจเท่าไหร่ เห็นว่ามันอยู่แพลนก็ อืม ไปสิ… แต่พอมาถึงมันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากเลยค่ะทุกคน เหนือความคาดมากๆ แบบที่ดูในรูปกับวิดีโอไม่เพียงพอเลย อยากให้ไปสัมผัสค่ะ

มันคือฝูงปลาซาร์ดีนนับล้านตัว ซึ่งปลามันจะสีเงินวิบวับๆ เป็นฝูงใหญ่เป็นกำแพงเลย แล้วเค้าจะว่ายและขยับทั้งฝูงพร้อมๆ กันเป็นคลื่น เป็นจังหวะ มันมหัศจรรย์มากๆเลยค่ะ เหมือนพาเราเข้าไปให้อีกโลกนึงเลย

นอกจากนี้ แถวนี้มีหญ้าทะเลเยอะ มองๆ ไปก็จะเจอเต่าเต็มเลยค่ะ


Cebu City

เกาะเซบูนั้น ถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับสองของฟิลิปปินส์รองจากมะนิลาค่ะ โดยมี Cebu City เป็นศูนย์กลางทางการค้า มหาวิทยาลัย สำนักงานต่างๆ เป็นเมืองที่ค่อนข้างคึกคัก และเป็นคนละบรรยากาศกับเมืองริมทะเลอื่นๆ บนเกาะเลยค่ะ

เราสามารถหา City Tour ชมจุดสำคัญต่างๆในตัวเมือง Cebu City ได้ง่ายๆ เลยค่ะ

เริ่มจากสถานที่แรก คือ Magellan’s Cross ซึ่งคือไม้กางเขนที่ Ferdinand Magellan สั่งให้ตั้งไว้ โดย Magellan คือชาวยุโรปคนแรกที่ข้ามมาถึงมหาสมุทรแปซิฟิคได้ เค้ามีชื่อเสียงจากการที่กษัตริย์สเปนส่งให้มาตามหาหมู่เกาะเครื่องเทศอย่างเกาะ Maluku ในอินโดนีเซีย

ตอนเราเข้าไปเค้ากำลังมีพิธีกรรมบางอย่างด้วยค่ะ โดยที่จะมีคนถือเทียนนี้กำลังร่ายรำอยู่ ส่วนฝั่งตรงข้ามไม้กางเขนนี้ จะเป็นที่ตั้งของ Basilica Del Sto. Nino ค่ะ

จากนั้นเดินทางไปดูโบถส์อีกแห่ง​ซึ่งเป็นโบถส์หลักของที่นี่อย่าง Cebu Cathedral มีขนาดใหญ่เลย หลังจากนั้นจะไปยังป้อมปราการ San Pedro Fort ซึ่งเป็นป้อมที่เก่าแก่ที่สุดในฟิลิปปินส์ค่ะ

แล้วก็ยังมีสถานที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น อนุสาวรีย์ The Heritage of Cebu Monument ซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ที่ใหญ่มากและรวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์ของที่นี่ไว้

อยู่ติดกับ Yap-Sandiego Ancentral House เป็นบ้านแอนทีคตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โดยเค้าเคลมว่าเป็นบ้านจีนหลังแรกที่สร้างนอกประเทศจีน

หลังจากนั้น เราก็ข้ามไปยังฝั่ง Mactan ซึ่งเป็นฝั่งที่สนามบิน Cebu ตั้งอยู่เพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามบิน ระหว่างทางจะมีหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อในการทำกีต้าร์อยู่ เราเลยได้แวะชม Guitar Factory ค่ะ

นอกจากสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมแล้ว ใน Cebu City ยังมีห้างสรรพสินค้าและคาเฟ่มากมายเลย อย่างดาดฟ้าของ Ayala Mall มีร้านอาหารเยอะแยะเลยค่ะ บรรยากาศดีเลยค่ะ 🙂


นอกจากนี้ทางตอนเหนือของเกาะเซบูเองยังมีที่เที่ยวอีกมากมายเลยค่ะ เราอยากกลับไปอีกมากๆ และเชื่อว่า หากฟิลิปปินส์เปิดให้เข้าโดยไม่ต้องกักตัวจะรีบกลับไปสัมผัสความสมบูรณ์ของธรรมชาตินี้ทันทีเลย!!

สำหรับใครที่หาตั๋วเครื่องบินราคาถูกอยู่ก็ไปเทียบราคาได้ที่ Skyscanner.com นะคะ คลิ๊กที่นี่ได้เลย!!!

สามารถติดตามอัพเดทเรื่องการเดินทางเข้าประเทศฟิลิปปินส์ได้ที่ >> https://www.philippineairlines.com/en/covid-19/arrivingintheph

หรือข้อมูลภาษาไทยบน Facebook Page ของการท่องเที่ยวฟิลิปปินส์ ได้ที่ >> https://www.facebook.com/PhilippineTourismThailand

ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com

error: