[รีวิว] HAOMA Weekend Brunch บรันช์อาหารอินเดียน สไตล์ไฟน์ไดนิ่ง ที่ให้คุณทานได้ไม่จำกัด
HAOMA เป็นร้านอาหารร้านแรกๆ ใจกลางกรุงเทพฯ นำคอนเซปท์ Urban Farm และ Zero-Waste มาใช้ ภายในซอยสุขุมวิท 31 นี้เอง ที่ร้านเค้าตั้งอยู่ โดยมีสวนสมุนไพร สวนผัก มีบ่อปลา ทั้งหมดหมุนเวียนให้มีขยะน้อยที่สุด ในแต่ละมื้อ เชฟ Deepanker Khosla และทีม จะเด็ดผักและสมุนไพรสดๆ มาเพื่อทำอาหารอินเดียนรูปแบบใหม่ ที่จะเสิร์ฟในทุกๆ วัน
โดยปกติแล้ว HAOMA เป็นร้านอาหารอินเดียน แบบไฟน์ไดนิ่ง ที่เสิร์ฟอาหารอินเดียอย่างละเมียดละไม เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และ เทคนิคการทำอาหารชั้นเลิศ บนพรีเซนเทชั่นที่หรูหรา นั่นทำให้ร้าน นิยามตัวเองว่าเป็น Neo-Indian เป็นอาหารอินเดียนที่คิดนอกกรอบ
อย่างไรก็ตาม ในทุกๆ เที่ยงวันเสาร์-อาทิตย์ เชฟ และทีม มองว่า มันเป็นเวลาพบปะของครอบครัว ยิ่งในวัฒนธรรมอินเดียที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวมากๆ มันเป็นมื้อที่แม่จะทำอาหารเต็มโต๊ะ เตรียมไว้ให้ทุกคนในบ้านได้ทานและมีความสุขกันพร้อมหน้า และนั่นทำให้เชฟ DK เปลี่ยนจากการเสิร์ฟอาหารคอร์สหรู เป็น Weekend Brunch ในวันหยุดสุดสัปดาห์แทน
All-You-Can-Eat Weekend Brunch ของ Haoma สนนราคาอยู่ที่ท่านละ 1,590 บาท++ มีรายการอาหารอินเดียคลอบคลุม ด้วยความที่เชฟ DK ทำอาหารแบบไฟน์ไดนิ่ง ทำให้อาหารอินเดียที่นี่ กลมกล่อม ละเมียดละไม แม้รสชาติจัดจ้าน แต่ เครื่องเทศไม่ฉุน เราคิดว่าทุกคนทานได้ หากใครอยากลองเปิดใจกับอาหารอินเดีย อยากให้ลองมาชิมที่นี่ดู จะได้ชิมหลายๆ อย่างด้วยค่ะ
// ส่วนตัวเรา ก็มีอาหารอินเดียบางเมนู ที่เราไม่ชอบ แต่ที่นี่กลับกินได้ แบบสั่งซ้ำเลยค่ะ
เริ่มต้นกันที่ Small Bites ก่อนค่ะ
Golgappa (หรือทางใต้เรียก ปานีปูรี/Panipuri) อันแรกนี้จะถือเป็นอาหารสตรีทฟู้ดท็อปฮิต ที่ใครดูสารคดี คลิปเที่ยว คลิปกิน หนังอินเดีย ต้องเคยเห็นผ่านตาแน่นอนค่ะ ปานี คือ น้ำ ส่วน ปุรี ก็คือ แป้งทอดกลมๆ ที่กลวงตรงกลาง ซึ่งถ้าไปตามถนนที่อินเดีย มันจะมาแค่แป้งกับมันฝรั่งนิดหน่อย แล้วใส่น้ำที่เผ็ดเปรี้ยวมากๆ เต็มเลยค่ะ
ส่วนของที่ Haoma ภายในปุรี จะมีเครื่อง มันบด ถั่ว ข้างในสวยงาม แล้วเราก็สามารถเทน้ำปานี ได้เองค่ะ น้ำจิ้มเมนูนี้มันต้องเผ็ดและเปรี้ยวแหลม แต่ของที่นี่ทานแล้วสดชื่นดีนะคะ เป็นเมนูที่ต้องเตรียมใจไว้นิดนึง เพราะมันไม่เหมือนรสชาติที่เราคุ้นเคย แต่ดีค่ะ ใครชอบคือชอบเลย
Papri Chaat เป็นอีกหนึ่งขนมของว่างที่หาได้ทั่วไปแถวอินเดียเหนือ จะเป็นเหมือนสลัดที่มีของกรุบกรอบต่างๆ ข้าวพอง แผ่นแป้งกรอบ ถั่วชิกพี คลุกกับชัทนีย์มะขาม โยเกิร์ต โรยหมี่กรอบ และ ทับทิม ที่นี่ทำดีค่ะ ทานเล่นเพลินเลย
Malai Broccoli เมนูนี้คือ บรอคโคลี่ย่างกับครีมชีส อัลมอนด์ และ เครื่องเทศค่ะ คำว่า Malai หมายถึงครีม ส่วนบรอคโคลี่มีความนุ่มหวาน ไม่เหม็นเขียว เข้ากับตัวซอสที่หมักได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ
Paneer Tikka ชีสปาเนียร์หมักเครื่องเทศย่าง ปกติ เราทานชีสปาเนียร์ได้ไม่เยอะ เพราะเลี่ยน แต่เค้าหมักมาดีมาก เข้ากัน มีความหอม ตัดเลี่ยน กลายเป็นรสสัมผัสที่หนึบ มีรสชาติดีเลยค่ะ
Murg Malai Kebab อย่างที่บอกค่ะ ว่า Malai แปลว่า ครีม และนำมาย่างกับกระเทียม ขิง และ เครื่องเทศอื่นๆ เป็นไก่ย่างที่เนื้อนุ่มสุดๆ และ ยังหอมฟุ้งเลยค่ะ
มาถึง Large Bites ที่เริ่มเป็น เมนคอร์สกันบ้างค่ะ
หากใครเริ่มทานอาหารอินเดียใหม่ๆ อย่างแรกที่ต้องเข้าใจคือ แม้ว่าแกงอินเดียจะดูหน้าตาคล้ายๆ กัน สีส้มๆ แดงๆ เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นแกงคนละชนิด รสชาติจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยค่ะ และนี่ก็เป็นโอกาสดีค่ะ ที่จะได้ลองแกงหลายๆ แบบ
ในเมนูตอนนี้จะมีแกงประมาณ 7 – 8 อย่างนะคะ (แต่ละแกงจะมีออปชั่นมังสวิรัติด้วยค่ะ) แล้วก็จะมีข้าวหรือแป้งให้เลือก ทั้ง Biryani, Naan, Paratha เลยค่ะ
แกงที่นี่เนื้อแกง texture ดีมากๆ เลยค่ะ มันมีความสดของวัตถุดิบที่ใช้ในเนื้อแกง รู้สึกเหมือนเวลาทานซุปข้นดีๆ ที่สำคัญ เนยเป็นเนย หอมมาเลย ครีมเนื้อเนียน เรามาดูแกงที่เราสั่งมานะคะ
Daal Makhani คำว่า Daal แปลว่าถั่วค่ะ จะใช้ถั่วเลนทิลและถั่วแดงนำไปเคี่ยวกับแกง ซึ่งเป็นเบสคล้ายๆ Butter Chicken เลยค่ะ แต่ผลลัพท์ออกมาจะต่างเลย เพราะจะมีความหวานมันจากถั่วชัดเจนค่ะ
Butter Chicken อาหารอินเดียยอดนิยม เนื้อไก่ไม่มีกระดูก กับเนื้อแกงข้น หอมเนย เป็นแกงที่ทานง่ายค่ะ มีความครีมมี่ๆ เค็มหวานกลมกล่อม ไม่เผ็ดค่ะ จานนี้เราใช้แป้งนานปาดเกลี้ยงเลย
Lamb Chettinad แกงจากทางใต้ของอินเดีย เป็นแกงที่มีความเผ็ดร้อนขึ้นมาค่ะ รสชาติจะไม่ไปทางเปรี้ยวหวานกลมกล่อม แต่จะมีความเผ็ด ความเค็ม หอมกลิ่นเครื่องเทศ ทำให้เราทานเนื้อแกะในนี้ได้ง่ายมากเลยค่ะ
Vegetable Jalfrezi นิยามของเมนู Jalfrezi คือการนำเนื้อหรือผักไปผัดใน Spiced Oil สำหรับเรา มันเหมือนแกงผัดแห้งค่ะ ซอสจะเข้มข้น มีกลิ่นพริกชัดเจน รสชาติออกโทนเผ็ด จัดจ้านอยู่ค่ะ
– เกือบทุกเมนู จะมีออปชั่นของเนื้อสัตว์หรือจะสั่งเป็นมังสวิรัติก็ได้ค่ะ
Seafood Madras อันนี้แนะนำนะคะ เป็นแกงที่เบสเป็นมะเขือเทศและหัวหอม มีความเปรี้ยวนิดๆ คิดว่าน่าจะมาจากโยเกิร์ตนะคะ เป็นแกงที่เนียนมากๆ เนื้อไม่หนักนะคะ ไม่ได้ออกทางหวานเหมือน Butter Chicken โดยรวมเข้ากับซีฟู้ดมาก อ้อ แล้ว ซีฟู้ดที่ให้มาคือสด และถูกปรุงให้สุกมาอย่างดี ไม่แห้ง หรือ เละเกินไปค่ะ อันนี้ให้คะแนนบวกเลย
Mutton Keema Biryani บีร์ยานี่ คือข้าวที่หุงช้าๆ ให้หอม ซึ่งส่วนใหญ่จะมีกลิ่นแซฟฟรอนค่ะ บางที่ก็จะเครื่องเทศแรงๆ (ซึ่งบีร์ยานี่แบบอินเดียนใต้ ส่วนตัว นัททานไม่ค่อยเก่งเลยค่ะ ลองสั่งในไทยมาหลายร้านก็ไม่ใช่แนวเท่าไหร่ กินแป้งนานต่อไป) แต่บีร์ยานี่ ของเชฟ DK คือดีมากกกก เป็นข้าวที่หอม Saffron แบบนวลๆ ไม่ได้มีเครื่องเทศอื่นแหลมออกมาค่ะ แล้วรสชาติละมุน แอบมีความอูมาหมิ ชอบมากเลยค่ะ
อ้อ Biryani ที่นี่จะเป็นการ หุงในหม้อดิน และปิดด้านบนไว้ด้วยแป้งค่ะ เพื่อที่จะให้เวลาหุงน้ำที่หุง และกลิ่นมันเข้าไปตลบอบอวลๆ อยู่ด้านใน
มาถึงขนมหวานกันบ้างค่ะ ขนมหวานที่นี่ ที่เป็นอินเดียจริงๆ จะมีแค่ Gulab Jamun ซึ่งเป็น กุหลาบจามุน ที่ไม่หวานเกินไป ประทับใจมากกก มีกลิ่นหอมแบบหวานๆ ไม่หนัก ไม่แสบคอเหมือนที่เคยทานมา เป็นอีกจานที่ประทับใจค่ะ
ส่วนจานนี้ ไม่ใช่ขนมอินเดีย แต่เป็นจานของหวาน ที่ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากขนมช๊อคโกแลตที่ขายอยู่ที่อินเดีย ซึ่งเชฟชอบกินมากๆ ชื่อว่า Melody ค่ะ (ฟีลแบบ สนิกเกอร์ คิตแคต อะไรแบบนี้ ของอินเดียอ่ะค่ะ) ซึ่งเชฟก็นำความทรงจำของขนมที่ตัวเองชอบในวัยเด็ก มาสร้างสรรค์เป็นจานนี้เลย ประกอบด้วย Chocolate , Caramel และ Pudding เทกเจอร์นุ่มดีค่ะ
สุดท้ายจะเป็นโฮมเมดไอศกรีม มีวานิลลา และ ซอร์เบมะม่วง จัดออกมาสวยงามเลย
ภายในร้าน เราก็จะเห็นสวนสมุนไพรเป็นฉากหลังค่ะ บรรยากาศก็จะสงบ หลบมุม เหมือนไม่ได้อยู่ในสุขุมวิทเลยค่ะ
ร้าน HAOMA
ตั้งอยู่ในซอย สุขุมวิท 31
มีบริการ Valet Parking