เที่ยว KOMODO ISLANDS ชีวิตติดเกาะ เดินเขาชมวิว ดำน้ำ อาบแดดที่ Pink Beach ตามหามังกรโคโมโด
หาดทรายสีชมพู วิวเกาะสลับซับซ้อน ชีวิตกลางทะเลที่ตื่นมาเห็นพระอาทิตย์ขึ้น กลางวันก็ว่ายน้ำไปชมโลกใต้ทะเลแสนสมบูรณ์ แล้วนั่งชมพระอาทิตย์ตกก่อนจะทานอาหารเย็น ทั้งหมดนี้ เป็นความประทับใจขั้นสุดจากทริปล่าสุดของเราที่ Komodo Islands หรือ เกาะโคโมโด ประเทศอินโดนีเซีย
การมาเที่ยว เกาะโคโมโดนั้น นัทว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางที่น่ามหัศจรรย์ในหลายแง่มุม เดินทางง่าย และ คุ้มค่าสุดๆ เลยค่ะ
ก่อนมาที่นี่เราไม่ได้สนใจมังกรโคโมโดเลย และนัทกับเพื่อนคนไทยหลายคนก็อาจจะไม่ได้อินกับการมาตามหามังกรขนาดนั้น (เพราะหลายคนมักคิดว่า เอ้ะ ก็คล้ายกับน้องตัวเงินตัวทองรึป่าว) ซึ่งแม้ว่าคุณจะไม่อินกับสัตว์ตระกูลกิ้งก่าที่ใหญ่ที่สุดในโลกและมีแค่ที่นี่ที่เดียว การมาเที่ยวที่นี่ก็ยังเป็นหนึ่งในเส้นทางที่น่าจดจำ ครบทุกอารมณ์ และเชื่อเถอะค่ะ ถ้ามาถึงที่นี่แล้ว เราจะตื่นเต้นกับการไปชมมังกรโคโมโดเช่นกัน
สุดท้ายนี้ ก่อนไปวางแผนเที่ยว นัทอยากบอกว่า พิงค์บีช มันพิงค์จริงๆ ค่ะ คิดว่าคนอื่นแต่งรูปมาตลอด จนได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง อยากให้ทุกคนได้มาเห็นเหมือนกันนะคะ
เกาะโคโมโด อยู่ที่ไหน?
จริงๆ จะเรียกว่า “เกาะโคโมโด” ก็ไม่ถูกซะทีเดียวนะคะ เพราะเกาะที่เราไปเที่ยวในครั้งนี้ หลักๆ คือ เริ่มต้นที่เกาะฟลอเรส แล้วไปเกาะ Padar กับ Rinca อย่างไรก็ตาม ชื่อนี้เป็นชื่อที่เรียกตามความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ทั้งคนอินโดและนักท่องเที่ยว ถ้าพูดว่า “ไปโคโมโด” ทุกคนก็เข้าใจตรงกันว่าคือที่นี่ค่ะ ส่วนเราเองก็ไม่ได้ขึ้นเกาะที่ชื่อเกาะโคโมโดนะคะ แต่ทั้ง เกาะ Padar และ เกาะ Rinca ถือเป็นส่วนหนึ่งของ อุทยานแห่งชาติโคโมโด ค่ะ
แปะไว้เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ประเทศอินโดนีเซีย มีเกาะเล็กเกาะน้อยราวหนึ่งหมื่นแปดพันเกาะ มีเกาะที่มีคนอาศัยอยู่ประมาณหกพันเกาะค่ะ
การเดินทางไปยัง โคโมโด
การเดินทางมาเที่ยวโคโมโดนั้น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะบินมาลงที่สนามบินเมือง ลาบวนบาโจ (Labuan Bajo) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ตรงชายฝั่งตะวันตกของเกาะฟลอเรส (Flores Island) โดยสนามบินที่ลาบวนบาโจนี้ ใช้ชื่อว่า Komodo Airport (LBJ) เลยค่ะ มีบินจากบาหลี กับ จาการ์ตา ทั้งวันเลย สนามบินอยู่ห่างเมืองแค่ 10 นาทีเท่านั้น
แต่หากใครสายลุยมากกก หรือคนท้องถิ่นเองที่อาจจะงบน้อย ก็จะนั่งเฟอร์รี่ข้ามเมืองค่ะ เพราะอินโดเป็นเกาะเยอะมาก ทำให้มีเฟอร์รี่เป็นขนส่งสาธารณะ เหมือนเรามีรถบัสอ่ะค่ะ ต้องนั่งหลายต่อ ก็จะใช้เวลาประมาณ 2 วัน
ส่วนเราก็บินแอร์เอเชียเหมือนเดิมค่ะ บินตรงจากกรุงเทพไปลงบาหลี สี่ชั่วโมงกว่าๆ แล้วก็ต่อจากบาหลีมาโคโมโดแค่อีกหนึ่งชั่วโมง ทั้งหมดจองผ่าน Airasia Super Apps ได้เลยนะคะ ทั้งขาไปและกลับ ดอนเมือง – บาหลี เราสั่งอาหารไว้ล่วงหน้าเลยค่ะเพราะกะว่าหิวแน่ๆ
คนไทยสามารถเข้าอินโดนีเซียโดยไม่ต้องใช้วีซ่าอยู่ได้ 30 วันนะคะ
การวางแผนเที่ยวโคโมโด
จะสังเกตว่า เมืองลาบวนบาโจที่เราบินมาลงนั้น อยู่บนเกาะฟลอเรส ซึ่งเป็นเกาะใหญ่ มีความยาวถึง 350 กม. แต่จุดหมายปลายทางอย่างอุทยานแห่งชาติโคโมโดนั้น จะเป็นพวกเกาะเล็กเกาะน้อยที่อยู่ทางตะวันตกของเกาะฟลอเรสอีกที ทำให้การมาเที่ยวที่นี่ มีออปชั่นหลากหลายมากค่ะ นัทเห็นแบคแพคเกอร์ต่างชาติ มาอยู่ปีนภูเขาไฟ เที่ยวหมู่บ้านชาวเขา เที่ยวถ้ำกันเป็นอาทิตย์ แต่รูทพื้นฐานที่ฮิตๆ ก็คือไปพวกหมู่เกาะแบบที่เราไปเนี่ยแหล่ะ
ดังนั้นการมาเที่ยวโคโมโด สามารถทำได้ตั้งแต่ 2-3 วันพ่วงไปกับทริปบาหลี หรือจะอยู่เป็นสัปดาห์ก็ได้ค่ะ
วิธีเที่ยวโคโมโดส่วนใหญ่แบ่งเป็นสองทางคือ
1. ใช้เมือง Labuan Bajo เป็นเบส แล้วไปเที่ยวแบบเดย์ทริปเป็นวันๆ แบบนี้ จะเลือกที่พักได้ตรงใจ เพราะใน Labuan Bajo ก็มีที่พักหลายแนว ตั้งแต่โฮสเทลไปถึงโรงแรมดีๆ ค่ะ แถมมีร้านอาหารและบาร์หลากหลายให้เลือกในเมือง
เดย์ทริปรูทเบสิคของที่นี่คือ เกาะ Padar, พิงค์บีช, ดูมังกรโคโมโด, ดำน้ำกับแมนต้า ออกประมาณ 6 โมงเช้า กลับมา 4-5 โมงเย็นค่ะ >> ทางไปจอง คลิ๊กที่นี่เลย
ส่วนใครมีเวลาอีกวัน บางคนก็จะไปเที่ยวบนเกาะของที่พักสุดฮิตในไอจีอย่าง Le Pirate อันนี้ติดต่อผ่านเว็ปโรงแรมได้เลย หรือ จะไป Rangko Cave ก็เป็นอีกเดย์ทริปใกล้ๆ ลาบวน บาโจ ที่ฮิตค่ะ >> ทางไปจอง คลิ๊กที่นี่เลย
2. นอนบนเรือแบบ Liveaboard 3 วัน 2 คืน นัทเลือกแบบนี้ เพราะปกติชอบบรรยากาศบนเรือมากๆ ที่ตื่นมาเจอพระอาทิตย์ขึ้น จนพระอาทิตย์ตก นอนดูดาวเต็มฟ้า อากาศเย็นๆ เป็นอะไรที่พิเศษมากๆ ตื่นมาก็ถึงเกาะที่จะไปแล้ว ไม่ต้องนั่งเรือย้อนไปย้อนมา และเหตุผลสำคัญคือ อยากเดินขึ้นเกาะ Padar ตอนพระอาทิตย์ขึ้นเพราะรู้สึกว่าแสงสวยมากๆ ค่ะ — แต่ว่าก็แลกมากับพื้นที่จำกัดห้องแคบ ตอนนอนมีเสียงเครื่องปั่นไฟ ฯลฯ
ตัวโปรแกรม Liveaboard 3 วัน 2 คืน เส้นทางจะคล้ายกันหมด คือเหมือนกับเดย์ทริปมีเกาะ Padar, พิงค์บีช, ดูมังกรโคโมโด, ดำน้ำกับแมนต้า แต่ก็จะมีเพิ่ม เกาะ Kelor, ดูค้างคาวออกจากถ้ำ เกาะ Kalong, เกาะ Kanawa ค่ะ
เรือ Liveaboard มีให้บริการเยอะมากกกกค่ะ เค้าจะแบ่งประเภท มีตั้งแต่ Standard, Deluxe, Luxury, VIP ราคาก็มีเริ่มตั้งแต่คนละ 8000.- ไปจนถึง 20,000.- ต่อทริป 3 วัน 2 คืน รวมทุกอย่างแล้วค่ะ
ของนัทจะเป็นเรือเทียบเท่าประมาณ Deluxe ค่ะ >> ทางไปจอง คลิ๊กที่นี่เลย
แต่ใจจริง แนะนำเป็นแบบ Luxury หรือ VIP ลองคลิ๊กดูรูปเรือกับห้องได้เลยนะคะ
เหตุผลที่นัทจองทุกอย่างผ่าน Klook.com เพราะว่า มันรู้เลยว่าเรือเต็มรึป่าว เพราะตอนแรกนัทพยายามแอด whatsapp ไปคุยกับบริษัททัวร์ท้องถิ่นแต่ละที่ แต่ก็ต้องมานั่งเช็คว่าเรือไหนว่างเรือไหนเต็ม มานั่งต่อราคา แถมบังคับโอนเงินสดข้ามประเทศไปมัดจำอีก แถมไม่รับบัตรเครดิต ต้องขนเงินสดเป็นสิบล้านรูเปีย (ถือเงินสดเป็นร้อยใบ) นัทว่ายุ่งยากพอสมควร พอจองผ่าน Klook คือทุกอย่างจบ สบายกว่าเยอะค่ะ ดำน้ำ scuba นัทก็จองทางนี้เช่นกัน
ถึงจองผ่าน Klook พอใกล้ๆ วัน เค้าจะแอด WhatsApp มาติดต่อนัดหมายจุดรับส่ง ที่นั่นใช้ WhatsApp เป็นหลัก แนะนำให้โหลดและใส่เบอร์ที่จะใช้ให้ตรงกับเบอร์ที่จองทัวร์นะคะ
โปรแกรมเรือแบบ 3 วัน 2 คืน ส่วนใหญ่จะออกทุกวันศุกร์ค่ะ ออกเวลา 10.00-11.00 น. บินไปถึงไฟลท์เช้าก็ทัน แล้ววันอาทิตย์กลับมาถึง 11.30-12.00 น. ค่ะ จะจองไฟลท์กลับบาหลีเลยก็ได้ค่ะ เรือเค้ามีบริการรับส่งอยู่แล้วรับส่งที่สนามบินได้ << ถ้าแบบนี้ ก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายในโคโมโดเลย นอกจากค่าเรือ กับ ค่าเครื่องบินมาค่ะ
โคโมโด เที่ยวช่วงไหนดี?
ที่นี่มี สองฤดู คล้ายๆ บาหลีและภาคใต้บ้านเรา คือ ฤดูฝน (ธันวา-มีนา) และ ฤดูแล้ง (เมษา-พฤศจิกา) โดยไกด์บุ๊คส่วนใหญ่จะแนะนำให้มาช่วง Dry Season เพราะไม่เจอลมเจอฝนค่ะ นัทเองมาช่วงต้นเดือนกค. ช่วงนี้ควรจะเป็นฤดูร้อน แต่ด้วยความที่ช่วงกลางวัน นัทก็ลงน้ำทะเลเรื่อยๆ เลยไม่รู้สึก แต่พอตกเย็นคือเย็นสบาย ทั้งบนเกาะ ทั้งบนเรือ บนเรือจะออกหนาวๆ นิดนึงด้วยซ้ำ
นัทว่าทั้งบาหลีและโคโมโด เป็นที่เที่ยวที่เหมาะกับเดือน กค-สค. มากค่ะ เพราะคนไทยมีวันหยุดยาวพอดีๆ และ ที่อื่นในโลกส่วนใหญ่ร้อนมาก กลายเป็นที่นี่กำลังพอดีค่ะ
ค่าใช้จ่ายของทริปนี้
อินโดนีเซียใช้สกุลเงินรูเปีย (IDR) นะคะ แนะนำให้แลกมาก่อนเท่าที่จะใช้ค่ะ ร้านอาหารใหญ่หรือในโรงแรมรับบัตรเครดิต แต่ร้านทั่วไปไม่ค่อยรับค่ะ
– ตั๋วเครื่องบิน กทม-บาหลี ~7000-11000.-
– ตั๋วเครื่องบิน บาหลี – โคโมโด ~4000-5500.-
– ที่พักบนเกาะ วันที่มาถึงและวันที่นัทอยู่ดำน้ำต่อ มีตั้งแต่ราคา 600.- ไปจนถึงหลายพันค่ะ
– ค่าอาหาร แล้วแต่เลือกทาน มีตั้งแต่ข้าวแกงจานละห้าสิบบาท ไปจนถึงสเต๊กจานละหลายร้อย // จริงๆ บนเรือรวมทุกมื้อ ตั้งแต่มื้อเที่ยงวันที่ไปถึง จนถึงมื้อเที่ยงวันกลับค่ะ
– ค่าเรือ 3 วัน 2 คืน เริ่มต้น 8,000.- จองผ่าน Klook
– ค่าอุทยาน ทัวร์จะระบุไว้เลยค่ะว่ารวมค่าอุทยานรึยัง
– อื่นๆ ค่าทัวร์เดย์ทริปต่างๆ ของนัทมีไปดำน้ำอีกวัน
3 Days 2 Nights on Phinisi Boat
ก่อนอื่นขอพาชมเรือกันนะคะ ที่นี่จะเป็นที่พัก 2 คืนของเรา เรือลำนึงส่วนใหญ่จะรับแขกได้ประมาณ 10-16 ท่านค่ะ ห้องนัทเป็นห้อง 4 คน แต่มากัน 3 คน เตียงใหญ่แบบจริงๆ มานอนกองกันสามคนข้างล่างบ่อยมาก แต่พื้นที่ห้องไม่ใหญ่ ต้องกางกระเป๋าทีละคน มีน้ำอาบน้ำและสุขาในตัวค่ะ มีแอร์ค่ะ ส่วนกลางจะมีโต๊ะทานข้าวและดาดฟ้าที่เป็นที่ประจำของแก๊งค์นัทค่ะ
จะเช้าหรือเย็น เราก็จะได้ชมพระอาทิตย์ แสงสวยตลอดเลย ออกมาจากห้องก็เจอแบบนี้เลย
โปรแกรมวันแรก หลังจากที่รถรับมาที่ท่าเรือประมาณ 11.00-11.30 ก็มุ่งหน้ามาที่เกาะแรกชื่อว่า Kelor Island ค่ะ เกาะนี้มีจุดชมวิว ที่เห็นหาดทราย ทะเล และเกาะตรงข้าม สวยมากๆ เดินขึ้นประมาณ 5-10 นาที ชันประมาณนึง ทางค่อนข้างธรรมชาติตามรูป แต่ก็เห็นค่อยๆ ขึ้นมาได้ทุกคนเลยนะคะ
จุดนี้แวะให้ชิลล์ๆ อยู่พักนึงเลยค่ะ สามารถเล่นน้ำที่หาด หรือ ทานขนมอาหารที่ร้านค้าบนเกาะได้ค่ะ
จากนั้นกลับมาทานอาหารเที่ยงที่เรือค่ะ รูปรวมอาหารบนเรือคร่าวๆ ค่ะ นัทไม่ได้ถ่ายไว้ทุกมื้อเพราะเกรงใจคนร่วมทริปบนเรือค่ะ แต่หลักๆ เลยคือจะเป็น ปลา ไก่ ผัก ทุกมื้อ อาหารโอเคมากเลยนะคะ ทานง่าย รสไม่จัด อินโดเค้ามีเมนูน้ำพริก ชื่อ Rendang จิ้มไปเลยค่ะแซ่ปมาก มีข้าวสวยทุกมื้อ ซุปในรูปนั่นอร่อยมากค่ะ เกือบจะแกงกะทิแต่รสชาตินวลๆ มีผลไม้ให้ทานตลอด มีน้ำเย็น โค้ก สไปรท์ ตลอดค่ะ
ใครไม่มั่นใจก็ติดเสบียงไปได้ค่ะ
หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จ เรือก็จะค่อยๆ แล่น ซึ่งเวลาเรือแล่นนี่ นอนเล่นบน deck สบายมากเลยค่ะ จุดถัดไปก็จะไปที่ Manjarite Island ซึ่งเป็นจุดดำน้ำชมปะการังค่ะ แม้จะเป็นแค่จุดสนอร์กเกิ้ล แต่ต้องยอมรับว่า ปะการังและปลาเยอะดีนะคะ
จุดสุดท้ายของวันแรก เค้าจะมาจอดกันที่ Kalong Island เพื่อชมค้างคาวออกจากถ้ำค่ะ ตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ของจริงมันว้าวมากค่ะ ที่พระอาทิตย์ตกสวยๆ แล้วค้างคาวเยอะมาก บินข้ามเรือไปเลย แล้วเรือคือจอดกันเต็มเลยค่ะ
สวยมากๆ ฟีลเหมือนนกบิน แต่ดูดีๆ จะเป็นค้างคาวค่ะ ปกติเวลาดูที่ไทย เราจะดูจากไกลๆ เห็นเป็นเส้น แต่อันนี้เราเหมือนอยู่ตรงกับเส้นทางที่เค้าบินค่ะ
ใครเคย Liveaboard น่าจะชอบบรรยากาศพระอาทิตย์ตกบนเรืออยู่แล้ว
วันที่สอง วันนี้คือไฮไลท์เลยค่ะ Padar Island ที่นัทเห็นในรูปมานาน เราต้องตื่นเช้ามากกก ตามแต่ว่าพระอาทิตย์ขึ้นกี่โมง ก็ต้องไปก่อนประมาณ 20 นาที อย่างช่วงที่นัทไปนี่ ออกจากเรือประมาณตีห้าครึ่ง เรือเล็กไปส่งถึงเกาะ Padar ใช้เวลา 5 นาที เดินขึ้นไปยังเห็นพระอาทิตย์กำลังขึ้นค่ะ
เรือทุกลำก็จะพร้อมใจกันจอดตรงนี้ตั้งแต่เมื่อคืนเลยค่ะ จริงๆ ตอนนัทตื่นตีห้า ออกมายังมืดสนิท แต่เห็นคนเดินขึ้นเขากันแล้วเพราะเห็นไฟฉายเป็นทางเลยค่ะ
ข้างบนนี้ สวยมากจริงๆ คุ้มที่ตื่นเช้ามากเลยค่ะ การเดินขึ้นมาจุดถ่ายรูปใช้เวลาประมาณ 20 นาที แต่ที่นี่ทางเดินและบันไดค่อนข้างดีค่ะ มีข้อเสียคือ คนแน่นนิดนึง ดูได้จากจำนวนเรือค่ะ ลำนึงก็น่าจะมีเกินสิบคน — หากใครไม่อยากเจอคนเยอะ แนะนำเหมาเรือแบบ 3 วัน 2 คืน แบบไพรเวทมาในวันธรรมดาค่ะ
จุดถัดไปคือ Pink Beach ที่ที่นัทอยากมามากที่สุดเลย!! บอกเลยว่า ตอนแรกนัทก็ไม่คิดว่ามันจะพิงค์ขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม ไกด์บอกว่า พิงค์บีชมีประมาณ 4 หาด แล้วก็มีอีกจุดดำน้ำลึกเป็น dive site ชื่อ พิงค์บีช แต่เหมือนตรงนั้นจะไม่ค่อยชมพูค่ะ
ใดๆ ก็ตามการที่มันจะชมพูชัด ต้องมาตอนน้ำขึ้น เพราะมันจะพัด Foraminifera สิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วสีแดงจากปะการังขึ้นมาที่หาด ทำให้หาดเป็นสีชมพู และโชคดีฟ้าเปิด แสงแดดก็จะทำให้เห็นสีชัดค่ะ ดังนั้น หากน้ำยังไม่ขึ้น เค้าอาจจะสลับโปรแกรมไปดูโคโมโดขึ้นมาก่อนค่ะ
ลองสังเกตมันจะชมพูตรงใกล้ๆ น้ำ ส่วนด้านบนๆ ก็ทรายปกติค่ะ ของจริงสวยมาก อาจจะเพราะตัดกับสีฟ้าของน้ำด้วย ว่ายน้ำเล่นสนุกเลยค่ะ
จุดที่สามของวันที่สอง มาที่ไฮไลท์ที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้หลั่งไหลกันมาถึงอินโดนีเซีย เรามากันที่เกาะ Rinca Island บ้านของสัตว์ที่ตัวใหญ่ที่สุดในตระกูล Lizard ซึ่งตอนแรกนัทไม่ได้อินเท่าไหร่ คิดว่าคล้ายกับน้องตัวเงินตัวทองที่บ้านเรา
แต่… ดูหน้าน้องมังกรดีๆ คือ นี่มันไดโนเสาร์ชัดๆ คือแบบ เห้ยยยย ทีเร็กซ์ป้ะเนี่ย
แล้วทุกคน จะบอกว่า มาถึงเกาะนี้ ไม่ได้แปลว่าจะเจอโคโมโดทุกครั้งนะคะ บางฤดูนางก็ไม่ออกมา เพราะเกาะมันใหญ่มากกก ประชากรโคโมโด มีหลักพันตัว และมีแค่แถบนี้ที่เดียวในโลก ซึ่งในหัวนัทอ่ะ คิดว่าจะเจอยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แต่คือ ทั้งการเดินเทรคบนเกาะ (ต้องมีไกด์ท้องถิ่นนำ ซึ่งรวมในค่าทัวร์แล้ว) เราเจอแค่ 4 ตัวค่ะ
เนี่ย ตัวใหญ่แบบ เค้าบอกว่าใหญ่สูงสุด 3 เมตร ตอนพวกเราไปดูคือเค้านิ่งมากเลยนะคะ แต่ไกด์บอกว่า ถ้านางวิ่งคือเร็วมาก และถ้าโดนกัดคือน้ำลายจะทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดตาย อาหารของเค้าก็เลยเป็นพวกกวาง ควาย ตัวใหญ่ทั้งนั้น
จุดถัดไปก็ถือเป็นไฮไลท์ของทริปนี้เช่นกัน นั่นคือ Manta Point ค่ะ หากใครไม่รู้จักแมนต้า น้องคือกระเบนชนิดหนึ่ง ชื่อภาษาไทยคือ กระเบนราหู มีสีดำคาดขาว ปีกแหลมๆ เวลาจะใต้น้ำ น้องเหมือนบินได้ คือเค้าดูยิ่งใหญ่ สง่างาม โอ่อ่ามาก ทำให้เป็นหนึ่งในสัตว์ทะเลที่นักดำน้ำมักจะอยากเจอกันค่ะ ซึ่งในทริปนี้ ไม่ได้พกดวงมา เจอน้องว่ายผ่าน 1 ตัวถ้วน คนอื่นเค้าเจอกันเป็นฝูงเลย
แต่จุดใกล้ๆ กัน ก็เป็นจุดที่ปะการังฟูมากค่ะ และเต่าเยอะมาก ใครไม่เคยเห็นเต่าทะเล มาแถวนี้นัทเจอหลายตัวเลย
ปิดท้ายที่จุดที่ 5 ของวันค่ะ Taka Makassar เป็นเนินทรายกลางน้ำ ซึ่งถ่ายเวลานี้ไม่ค่อยเห็นสีน้ำกับสีทรายชัดๆ เลยถ่ายพระอาทิตย์ตกแทนค่ะ
วันสุดท้าย วันนี้ตื่นประมาณ 8 โมง ไปแวะเล่นน้ำที่เกาะสุดท้ายชื่อว่าเกาะ Kanawa Island ค่ะ ให้เวลาที่นี่ประมาณ 1-2 ชั่วโมง
แต่เนื่องจากทีมไทยแลนด์เที่ยวทะเลไทยมาเยอะแล้วและขี้เกียจอาบน้ำสระผมใหม่เลยไม่ลงจากเรือ จบด้วยการร้องคาราโอเกะ เปิดคอนเสิร์ตกลางทะเลกัน 2 ชั่วโมงถ้วน สนุกมากค่ะ 555 มีผู้ชมเป็นบรรดาเรือที่แล่นผ่าน ใครไม่เคยร้องเกะกลางทะเลนี่ขอแนะนำจริงๆ
จากนั้นเรือก็เสิร์ฟอาหารเที่ยง ก่อนจะแล่นอีกพักนึง ก็กลับเข้ามาที่ท่าเรือ Labuan Bajo ค่ะ ถือว่าจบทริป 3 วัน 2 คืน ที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ ความสนุก ได้ทำอะไรเยอะมาก และอยู่บนเรือมันชิลล์มากจริงๆ ค่ะ
เมืองลาบวนบาโจ (Labuan Bajo)
ในเมือง ลาบวนบาโจ เอง ส่วนใหญ่จะเป็นร้านขายทัวร์ ร้านดำน้ำ เนี่ยแหล่ะค่ะ จากสนามบิน ลืมบอก วิธีการเดินทางบนเกาะคือ เดิน หรือ Grab Bike เท่านั้น ไม่มีแกร็บคาร์ แท็กซี่คือให้โรงแรมเรียก คิดแพงอยู่ (เที่ยวละประมาณ 120-240 บาท แต่ระยะทางมันใกล้อ่ะค่ะ) ส่วนแกร็บไบค์คือครั้งละ 10-20 บาท ถ้าใครไม่มีกระเป๋าลากใบใหญ่ๆ สามารถแกร็บไบค์จากสนามบินยังได้เลยค่ะ
ตรงหน้าท่าเรือเลย จะมี Starbucks, KFC แล้วถนนเส้นเดียวกันนี้ จะมีร้านอาหารกับร้านดำน้ำทั้งแถบเลยค่ะ จริงๆ ถ้าใครไม่จองอะไรมาก่อนก็มาหาเอาที่นี่ได้ แต่อย่างที่บอกว่า ลำบากเรื่องถือเงินสดนิดนึง ร้านอาหารก็มีทั้งท้องถิ่น คาเฟ่ดีๆ เบเกอรี่ อาหารตะวันตก บาร์ ฯลฯ
Meruorah Hotel เป็นโรงแรมที่อยู่ติดกับท่าเรือเช่นกัน ชั้นสระว่ายน้ำ จะมีห้องอาหาร ซึ่งทำได้ดีเลยค่ะ อาหารดี เครื่องดื่มดี
อีกโรงแรมที่ดี และแนะนำมากๆ แต่อาจจะอยู่ห่างจากเมืองไป 10 นาที คือ Ayana Komodo ค่ะ ข้อดีคือ มีครบทุกอย่างในโรงแรม มีบาร์กลางน้ำ โรงแรมสวยเลย มีห้องอาหารหลายห้อง แต่ข้อเสียคือ เวลาจะเข้าเมือง ต้องเหมาแท็กซี่ที่โรงแรมเรียกเข้ามาครั้งละ หนึ่งแสนรูเปียทุกครั้งค่ะ
Scuba Diving
วันรุ่งขึ้นเรามาดำน้ำลึกหน่อยค่ะ สำหรับนัทมาดำเป็นรีเฟรชไดฟ์ก่อนไปดำน้ำที่บาหลี เลือกเป็นแบบเดย์ทริป 3 Dives ต่อวัน จองผ่าน Klook > คลิ๊กที่นี่ ได้เลยค่ะ
ข้อดีของการจองผ่าน Klook อย่างที่บอกคือ ไม่ต้องโอนมัดจำไปก่อน แล้วขนเงินสดไป ซึ่งเอาจริงๆ นัทไม่ค่อยกล้าโอนเงินสดไปเท่าไหร่ ผ่านแพลตฟอร์มแบบนี้ ถ้ามีปัญหาอะไรยังเคลมกับคอลล์เซ็นเตอร์ได้ค่ะ
อันที่ทิ้งลิงค์ไว้ให้ คือ อันที่นัทไปดำเลย ชื่อร้าน Dive Komodo อยู่ถนนเส้นเดียวกับสตาร์บัคส์เลยค่ะ จากร้าน เดิน 3 นาทีถึงท่าเรือ เดินไปลงเรือได้เลย ค่าดำน้ำ รวมอุปกรณ์แล้ว ไม่รวมแค่ไดฟ์คอมกับค่าอุทยาน ทางไปจอง > คลิ๊กที่นี่
3 ไดฟ์วันนี้ พาไป 3 จุดค่ะ ทุกวันจะมีจุดที่เป็น Manta Point ซึ่งวันนี้เราไม่เจอ แงๆๆ แต่เป็น drift dive สนุกมาก ปล่อยไหลตามน้ำ ทุกไดฟ์ไซต์ ปลาเยอะ ปะการังฟู เจอ Pygmy seahorse ด้วย รอบนี้ไปจ้องอยู่นาน นอกนี้ก็พวกเต่า ฉลาม ฝูงปลายูนิคอร์ ปลาปากแตร ที่เจอเยอะค่ะ
ที่พักในลาบวนบาโจ
Meruorah Komodo Labuan Bajo : น่าจะเป็นโรงแรมที่สะดวกที่สุดเลยค่ะ ใหม่ สะอาด โลเคชั่นคืออยู่ติดท่าเรือเลย จากสนามบินก็แค่สิบนาที เดินถึงร้านอาหารและร้านดำน้ำในเมือง จัดเป็นโรงแรมห้าดาว ซึ่งต้องบอกว่า แพงกว่าโรงแรมอินโดโดยทั่วไป แต่ถูกกว่าที่อื่นในโลกมากๆ อยู่ประมาณ 4000-7000 ต่อคืน ห้องอาหารสวย วิวจากสระว่ายน้ำสวยมากค่ะ ทางไปจอง > คลิ๊กที่นี่
AYANA Komodo Waecicu Beach : ถ้าเน้นโรงแรมสวย บริการดี ต้องที่นี่เลยค่ะ โรงแรมใหม่ ดีไซน์ดี วิวจากห้องสวยมากกกก มีบาร์กลางน้ำ ให้อารมณ์มัลดีฟส์เลย ห้องอาหารก็มีหลายห้อง บางคนก็มาสเตย์เคชั่นจบในตัวที่โรงแรมนี้เลยค่ะ แต่จะไม่ได้อยู่ในเมืองนะคะ ต้องนั่งแท๊กซี่มาประมาณ 10 นาทีค่ะ ราคาจะตกประมาณ 10000-13000 ซึ่งถ้าดูจากห้อง วิว บริการ ก็ต้องบอกว่า ถือว่าถูกกว่าเมืองไทยและมัลดีฟส์มากๆๆๆๆ ค่ะ ทางไปจอง > คลิ๊กที่นี่
Eco Tree O’tel : โรงแรมบูทีคท้องถิ่น โลเคชั่นคืออยู่ใกล้ ร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านดำน้ำค่ะ เดินนิดเดียวถึงท่าเรือ ที่นี่นัทไม่ได้เข้าไปชมห้องพัก แต่จากหน้าโรงแรมก็ดูโอเคเลยค่ะ ราคาประมาณสองพันบาทค่า ทางไปจอง > คลิ๊กที่นี่
Green Hill Boutique Hotel : โรงแรมราคาประหยัด อยู่บนถนนหลัก โลเคชั่นดี รีวิวใช้ได้ค่ะ ราคาไม่ถึงสองพันบาทค่า ทางไปจอง > คลิ๊กที่นี่
ตอนถัดไป จะพาไปเที่ยวบาหลี และ ดำน้ำกันที่ Nusa Penida กันนะคะ
ทริปนี้ ถ้าใครอยากเห็นวิดีโอ นัทเซฟสตอรี่เป็นไฮไลท์ไว้ในอินสตาแกรม ไปชมกันได้นะคะ
หากชอบรีวิว อย่าลืมกดไลค์เพจ และ ติดตามไอจี @eatchillwander ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ ค่า
ติดตาม Eat Chill Wander ได้ที่
Facebook : Eat Chill Wander
Instagram : @eatchillwander
Twitter : @eatchillwander
Youtube : Eat Chill Wander
Website : www.eatchillwander.com